บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ต่างชาติลดการลงทุนในไทยต่อเนื่อง โดยวานนี้ต่างชาติขายหนัก ถึง 9.3 พันล้านบาท (เป็น big lot เพียง 1.7 พันล้านบาท) ทำให้ยอดขายสะสมสุทธิในปีนี้สูงถึง 147,014 ล้านบาท คิดเป็น 77% ของเม็ดเงินที่เข้ามาตั้งแต่ปี 2552-2555
แม้ว่าการลดน้ำหนักการลงทุนในไทยจะมีต่อเนื่อง เชื่อว่าแรงขายของต่างชาติน่าจะลดลงในเดือนหน้าซึ่งเป็นช่วงเทศกาลหยุดยาว สถานการณ์ปัจจุบันกดดันให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าต่อ
INFO: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556
วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556
สุวิจักขณ์ ศรีอาริย์ รวยด้วยจิตหยั่งรู้
อายุน้อยมีเงินร้อยล้าน ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อสำหรับคนเดินดิน เขาพร้อมไขรหัสรวย ด้วยแรงขับด้านบวก ปรับลดอคติเชิงลบ ตบท้ายด้วยความพอดี
อายุน้อยมีเงินร้อยล้าน ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อสำหรับคนเดินดิน พิสูจน์ความจริงนี้กับ สุวิจักขณ์ ศรีอาริย์ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผู้พลิกชีวิตจากลูกกรรมกรสู่นักลงทุนมือพระกาฬ เขาพร้อมไขรหัสรวย ด้วยแรงขับด้านบวก ปรับลดอคติเชิงลบ ตบท้ายด้วยความพอดี
คนไม่มีสมบัติพัสถาน หรือตกที่นั่งทายาทรับมรดกพันล้าน อาจไม่กล้าแม้แต่จะ "ฝัน" ว่า "ฉันจะมีเงินล้านให้ได้" ในทางตรงกันข้าม คนที่ "กล้า" บอกกับตัวเองว่า "ฉันจะรวย" กลับเดินผ่าขวางหนามมุ่งสู่เส้นทางเศรษฐีได้
ขอเพียงแค่ใช้ "ทัศนคติเชิงบวก" และ "พลังขับเคลื่อน" เอาชนะ “ความคิดลบ” ก็สามารถฉุดให้คนมีฝันทั้งหลาย "ลุกขึ้น" มาจุดประกายความคิด พิชิตกำแพงความกลัว
ในแวดวงนักลงทุนและกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คงรู้จัก เกม-สุวิจักขณ์ ศรีอาริย์ เป็นอย่างดี อาจเพราะใบหน้าอันคมคายหล่อเหลา บุคลิกที่อ่อนน้อมถ่อมตน รวมทั้งกลวิธีสร้างฐานะตัวเอง เปลี่ยนจากศูนย์ขึ้นมาเป็นร้อยล้านในเวลาไม่กี่ปี ก็ทำให้เขาเป็นที่สนใจในวงสังคมได้ไม่น้อย
ปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัท แอสซิสเฮ้าส์ จำกัด ศูนย์รับสร้างบ้านมาตรฐานงานก่อสร้าง และวางแผนจะเป็นนักลงทุนด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอนาคตอันใกล้นี้
หลายคน (ธรรมดา) อยากรู้ว่าหากต้องการจะประสบความสำเร็จด้วยวัยเพียง 36 ปีอย่างเขา จะต้องทำอย่างไร
ล้มแล้วลุก ปลุกพลังความเชื่อ
เกม เผยว่าน้อยคนนักที่จะมีชีวิตโรยด้วยกลีบกุหลาบ ซึ่งเขาไม่ใช่คนกลุ่มนั้นอย่างแน่นอน ย้อนกลับไปสมัยยังเดินเตะฝุ่น หลังจากสำเร็จการศึกษาสาขาครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีปทุมวัน ก็ต้องเผชิญกับคำว่า ตกงาน เป็นของแถมใบปริญญา
นั่นเป็นเหตุผลให้เขาต้องใช้ "หน้าตา" หากิน ลองแวะเวียนเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงสักพักหนึ่ง ก็รู้ตัวเองว่า ไม่โอเคสักเท่าไร จึงอยากกลับไปพักใจที่บ้านเกิด นครสวรรค์ แล้วค้นพบว่าตนน่าจะเป็นพนักงานขายรถยนต์ได้ดี
ในขณะทำงานงกๆ ตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน็อต แต่ในมือนั้นกลับมีหนังสือเปลี่ยนชีวิตอยู่เล่มหนึ่ง ชื่อ พ่อรวยสอนลูก ในสมองของเขาตอนนั้นคิดเพียงว่า "อยากเป็นผู้ประกอบการ ไม่ใช่ลูกจ้างแบบนี้"
เขามุ่งมั่นอ่านหนังสือ อ่านทุกอย่างทุกเรื่องที่อยากรู้ แล้วก็พยายามศึกษาความรู้จากแผนกต่างๆ นอกเหนือจากที่ตัวเองรับผิดชอบ มันค่อยๆ สั่งสมให้หนุ่มคนนี้มั่นใจว่ามีความรู้มากพอที่จะออกไปเป็นนายตัวเองได้แล้ว
และเขาก็ลงมือทำฝันนั้นให้เป็นจริง ธุรกิจแรกของชีวิตสุวิจักขณ์ ศรีอาริย์ ก็คือนักธุรกิจสิ่งพิมพ์ในชื่อ "รถและบ้าน" จำหน่ายทางภาคกลางตอนบน ด้วยความคิดที่ว่าน่าจะเป็นไปได้ ตามอำนาจความรู้ของตนที่มีอยู่แค่นั้น ทั้งเชื่อว่าธุรกิจบริการมีต้นทุนไม่สูง ใช้แค่ความสามารถ ขยัน และยอมเหนื่อยสักหน่อยเท่านั้นเอง
แต่แล้วเขาก็ต้อง "ล้ม" เป็นครั้งแรกเช่นกัน เมื่อเจอตอขนาดยักษ์ อย่างปัญหาเครดิตของลูกค้า ระยะเวลาชำระค่าสินค้ากลุ่มรถยนต์และบ้านใช้เวลานาน ทำให้ต้องยืดจ่ายค่าโฆษณาในหนังสือของเขา ส่งผลให้หมุนเงินไม่ทัน
ในเมื่อเกม ยังไม่โอเว่อร์ ทางตันยังไม่เปิดตาย... สุวิจักขณ์ จึงเลือกลงทุนในธุรกิจเดิม แต่เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย เล็งนักแต่งรถเป็นลูกค้าใหม่ ผลิตหนังสือ "รถแต่ง" โดยนำเสนอเทคนิคการแต่งรถ เป็นจุดขายที่แตกต่างจากหนังสือเล่มอื่นๆ กว่า 4-5 เล่มในตลาด
ครั้นพอเข้าถูกจุด รายได้มหาศาลก็ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมโอกาสใหม่ๆ ที่เดินมาเคาะประตู นักธุรกิจหนังสือคนนี้ปรารถนาจะลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อต่อยอดตัวเลขในบัญชีเงินฝากให้มากขึ้น เขาตัดสินใจซื้อที่ดินแห่งหนึ่งแล้วสร้างอาคารพาณิชย์ออกขายได้ในเวลาอันรวดเร็ว ครั้งนั้นได้กำไรถึง 4 แสนบาท ทำให้สุวิจักขณ์มีพลังที่จะเปลี่ยนชีวิตให้สูงขึ้นๆ อีก
พลังลบ ปะทะ แรงบวก
แต่แล้วจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของเกมก็เกิดขึ้น เมื่อทุ่มเงินมากก็เจ็บมากเป็นธรรมดา บอกแล้วว่ากุหลาบไม่ได้มีจำนวนมากพอที่จะโรยได้เรื่อยๆ หรอกนะ ครั้งนั้นเจ้าหนี้ร้านวัสดุก่อสร้างตามทวงเงิน พนักงานก็เรียกร้องต้องการเงินเดือน เขาทำได้เพียงเขียนเช็คล่วงหน้าจ่ายเงินเดือนให้กับทุกคน สัญญาว่ามีเงินเมื่อไร เขาจะรีบนำไปเข้าธนาคารให้ทันที
เขาว่าช่วงนั้นเองที่ทำให้รู้จักกับพลังอำนาจ "หลุมดำแห่งชีวิต" จิตใจที่อ่อนหัดถูกเจ้ามารร้าย หรือพลังงานความรู้สึกลบเข้าครอบงำจิตใจ พอจิตมันติดลบ มันก็จะเริ่มดึงดูดสิ่งชั่วร้ายต่างๆเข้ามา
กู้ยืมจากญาติพี่น้องไม่ได้ ในขณะเดียวกันพ่อของเขา ซึ่งเกมเคยขอร้องให้พ่อลาออกจากงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) แล้วมาดูแลกิจการร้านเกมส์คอมพิวเตอร์แทน แต่เมื่อกิจการไปไม่รอดเพราะคู่แข่งตัดราคากัน พ่อก็เดินทางมาขออยู่กับเขา แล้วพ่อก็ตัดสินใจลาจากไป เพราะเห็นว่าลูกชายคนนี้ก็แย่ไม่แพ้กัน จึงไม่อยากเป็นภาระ แต่การจากกันครั้งนั้นไม่อาจทำให้เขากลับมาพบกันอีกได้ เพราะมันคือจากลาชั่วนิรันดร์
ความบอบช้ำของจิตผลักดันให้เขาเริ่มมองหา "ธรรมะ" และเริ่มศึกษาข้อมูลด้านจิตมากขึ้น เพื่อค้นหาความสำเร็จอีกครั้ง เขาตกผลึกได้ว่า แท้จริงแล้วคนเรามุ่งค้นหาความจริงกันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าทรงค้นพบความจริงทางจิตวิญญาณ ไอสไตล์ก็ค้นพบจริงทางวิทยาศาสตร์ ความจริงเหมือนกันแต่คนละทาง
เขาตระหนักดีแล้วว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตคนเรานั้น ถูกสั่งการจากสมองและจิตมากกว่า 60% ในขณะที่ร่ำเรียนกันมาทั้งชีวิตนั้นกลับมีอิทธิพลต่อเราเพียง 40% เท่านั้นเอง“เรามีความรู้มาก ทำให้เราถูกควบคุมด้วยสิ่งที่เรารู้มาหรือจากประสบการณ์ของคนอื่น จริงๆ แล้ว เมื่อก่อนผมชอบคำว่า การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเชื่อว่าความสำเร็จทางโลกต่างๆ ต้องอาศัยประโยคนี้เพื่อสร้างความสำเร็จ แต่เพราะคำๆ นี้เองที่ทำให้มนุษย์เราไม่สามารถเข้าถึงปัญญาขั้นที่สูงขึ้นได้ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนจากการใช้ Know-how มาเป็นการคอนโทรลจิตของตัวเอง”
เกม เล่าต่อว่า อุปสรรคที่ซ้ำเติมชีวิต ล้วนเกิดขึ้นกับคนที่มีพลังงานลบ ติดกรอบความรู้และอำนาจเดิมของตัวเอง ไม่หลุดพ้นจากความคิดฝังใจ แพ้ใจตัวเอง และไม่ผ่านหัวใจตัวเอง จนชีวิตไม่ไปไหน หลายคนศึกษาและเรียนรู้มาอย่างดี มีข้อมูลความรู้เพียบ แต่พอลงมือทำ กลับไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมัวแต่สนใจในตัวเงิน แต่ไม่สนใจพลังงานที่ขับเคลื่อนมัน
ดังนั้นเราต้องมาทำความเข้าใจเรื่องพลังงานหรือระบบของมันเสียก่อนว่า จิตของเราคือคือพลังงานที่มีค่า ลบ กลาง บวก หากเราสะสมพลังงานใด เราจะเอนเอียงและซึมซับพลังงานด้านนั้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวทีเดียว
พลังงานจะแทรกซึมเข้าสู่ทุกอย่าง แล้วกระทบกันไปเป็นทอดๆ จนกลับมาที่ตัวเราในที่สุด และคุณสมบัติของจิตที่มีพลังนั้นจะต้องถูกสั่งสมมาเป็นเวลานาน จนกลายเป็นสภาวะจิตหยั่งรู้
แต่หากเรายังไม่สามารถอยู่ในแนวทางบวก หรือกลางๆ ด้วยการฝึกจิตและสมาธิ อยู่กับลมหายใจหรือปล่อยวางได้ทั้งหมดจนเข้าใจทุกอย่าง เกิดเป็นสภาวธรรมแล้ว จิตของเราจะยังคงสลับพลังงานบวกและลบอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราเหมือนจะก้าวไปข้างหน้าแล้วก็ต้องถอยกลับอยู่อย่างนี้ คล้ายกับการทิ้งสมอเรือชีวิตนั่นเอง
หลายคนบอกว่า สมอเรือนั้นเปรียบเหมือนกรรมเก่า สุวิจักขณ์ บอกว่า กรรมก็เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง แต่อย่าลืมว่ากรรมเก่าส่งผลแค่ในปัจจุบันเท่านั้น ในเมื่อจิตมันฝึกกันได้ เราก็สามารถกำหนดชีวิตต่อไปของเราได้ โดยไม่ให้กรรมเก่านั้นส่งผลต่อไปยังอนาคต
ดังนั้นเมื่อมั่นใจว่าจิตของเราสามารถกำหนดทิศทางและความเป็นไปในชีวิต ทั้งมันยังถูกฝึกให้เปลี่ยนแปลงได้ ก็ถึงเวลาต้องให้จิตสอนตัวมันเอง โดยการเพิ่มพลังงานบวกของตัวเอง อัพพลังตัวเองขึ้นมาให้ได้ และพยายามเสพพลังงานบวกอยู่เสมอ ถ้าอยากประสบความสำเร็จในชีวิต อย่าลงมาที่พลังงานลบเด็ดขาด
แล้วจะสร้างพลังงานบวกอย่างไร เป็นคำถามที่คนอยากรวยอยากรู้ สุวิจักขณ์บอกว่ามันง่ายดาย โดยอ้างอิงทางพุทธศาสนาจะแบ่งกลุ่มจิตไว้ 3 ประเภท ซึ่งฝ่ายดี (บวก) นั้น มีลักษณะของความเกรงกลัวต่อบาป ความละอายต่อบาป ความมีสติ ความมีศรัทธา ความมีเมตตา ความยินดี และอารมณ์ที่จะทำให้เกิดปัญญา โดยที่ไม่หลอกตัวเอง เพราะถ้าภายในจิตและสมองของเราไม่รู้สึกอย่างนั้น พลังงานบวกก็จะไม่เกิดจริง
“ที่เราต้องคงอารมณ์และพลังทางบวกไว้นั้น เพราะโดยปกติคนเราจะอยู่ที่บวกไม่ถึง 50%และจะคอยดิ่งไปที่ลบอยู่บ่อยๆ กว่า 80% บางคนอาจต้องกลับไปแก้ที่พลังงานลบที่ฝังอยู่ลึกๆ ก่อนด้วยการไม่ตอกย้ำ แต่ผมขอแนะนำให้ลองใช้ชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิมเพื่อกระโดดออกมาจากหลุมดำนั้น พอขึ้นมาได้แล้วให้รีบเข้าสู่ภาวะที่เป็นกลาง แล้วถีบตัวเองขึ้นไปให้กลายเป็นบวก หากเราต้องการให้ชีวิตไปในทางใดให้คิดถึงเป้าหมายที่เราตั้งใจไว้บ่อยๆ ความสำเร็จก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม”
สร้างสมดุลจิต ค้นหาความจริง
เศรษฐีน้อยร้อยล้าน แนะนำต่อว่า สำหรับผู้ที่เริ่มต้นจะทำธุรกิจ ต้องตัดคำว่าไม่กล้า การยึดติดกับกรอบ หรือพลังลบให้ได้ก่อน แล้วเพิ่มพลังงานบวกเข้าไปให้เต็มสูบ จากนั้นให้ฉีกกรอบแล้วก้าวออกมาให้ได้ หากก้าวไม่ได้หรือพลังงานบวกยังมีไม่พอ อาจเลือกอ่านหนังสือ ดูหนังแนวฮีโร่ หรือเข้าฟังสัมมนา ก็จะทำให้พลังงานบวกพุ่งปรี๊ดได้เลย เกมเผยต่ออีกว่า กุญแจความสำเร็จนั้น อยู่ที่ลงมือกระทำเดี๋ยวนี้ และมีความมานะพยายาม ไม่ย่อท้อ
ส่วนคนที่เคยมีประสบการณ์ “เจ็บแล้วจำ” มาก่อน เขาบอกว่าให้เก็บความกล้าบ้าบิ่นไว้ แต่ต้องกลับมาศึกษาข้อมูลทางธุรกิจให้ถ่องแท้เสียก่อน ซึ่งคำเตือนนี้ก็มาจากเรื่องราว “ล้มแล้วลุก” ของเขาเอง ที่เคยให้ความสำคัญผิดจุด จนกระทั่งรู้ว่าธุรกิจต้องพึ่งพาการตลาดและถามผู้บริโภค เพื่อให้รู้ความจริงของตลาด ไม่ใช่การคาดเดา หรือยึดติดกับ “ถ้วยรางวัล” เดิม
แม้หนทางที่สุวิจักขณ์บอก อาจเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ มีทฤษฎีและสถิติมาประกอบ แต่มันก็ผสมคละเคล้ากันกับหลักทางธรรมอย่างแยกไม่ออก เกมเฉลยว่าที่เราพูดคุยกันนั้นมันคือ “ธรรมชาติของความจริง”
แนวทางที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตของหนุ่มวัย 36 ปีคนนี้ คืออยู่กับความจริง ยึดความจริง นับถือความจริง อยู่กับปัจจุบัน การรู้ตัว เมื่อความรู้สึกอยู่ที่ไหนก็ให้กลับไปอยู่ที่จิต หากเมื่อไรเกิดพลังงานลบก็ต้องหยุดหรือทิ้งมันไปให้ได้ และฝึกจิตให้ละวาง อยู่กลางๆ ไว้
จากนั้นก็เลือกว่าจะเดินทางสายไหน ระหว่างสายกลาง หรือสายสุข ซึ่งตอนนี้เกมบอกว่า เขายังสนุกกับทางโลก จึงขอเดินตามทางแห่งความสำเร็จทางการเงินก่อน ก็จะต้องกระตุ้นตัวเองให้เกิดพลังงานบวกบ่อยๆ แต่ในอนาคตนั้น เขาวางแผนว่าทางสายกลางอย่างแท้จริงนั้น คือปลายทางชีวิตของสุวิจักขณ์ ศรีอาริย์
INFO: Bangkokbiznews.com
วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556
รูดปื๊ดรถคันแรก ทำคนเป็นหนี้พุ่ง แนะถือเงินรอลงทุนของถูก
ประธานชมรมคนออมเงิน เผย ยอดคนเป็นหนี้พุ่ง หลังแห่รูดปื้ด-ซื้อรถคันแรก แนะถือเงินสด รอลงทุนช็อปของถูก
นายสุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า จำนวนประชาชนที่มีหนี้สิน มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากภาระการซื้อรถยนต์ ในโครงการรถยนต์คันแรก รวมถึงการนำเงินในอนาคตจากบัตรเครดิตมาใช้จ่าย ทำให้มีภาระหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ อยากให้ประชาชนควบคุมค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีเงินออม ซึ่งส่วนตัวมีหลักการใช้จ่าย คือ จะซื้อของที่มีความจำเป็นเท่านั้น ส่วนสิ่งของที่ไม่จำเป็น ก็จะหลีกเลี่ยง
ทั้งนี้ นายสุวรรณ ยังได้กล่าวถึงสินทรัพย์ที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับเงินในกระเป๋า ด้วยว่า ตอนนี้อยากให้นักลงทุนหรือประชาชนถือเงินสดมากกว่าที่จะนำเงินมาลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพราะอนาคตเชื่อว่า จะมีสินทรัพย์ราคาถูกออกมาขายเป็นจำนวนมาก และถึงเมื่อนั้นก็ค่อยนำเงินมาลงทุน
INFO: http://news.mthai.com/general-news/268594.html
วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556
เศรษฐกิจยูโรโซนหลุดพ้นจากภาวะถดถอยครั้งแรกในรอบ 18 เดือน
เอเอฟพี - ข้อมูลใหม่ที่เผยแพร่ออกมาในวันพุธ(4) ยืนยันว่าเศรษฐกิจยูโรโซรในช่วงไตรมาส 2 หลุดพ้นจากภาวะถดถอยที่เรื้อรังมานาน 18 เดือน แต่แนวโน้มยังยากลำบากอยู่และยังคงล้าหลังเศรษฐกิจโลกอยู่มาก
เหล่านักวิเคราะห์แสดงควายินดีต่อตัวเลขดังกล่าว แต่ก็ยังไม่วายระมัดระวังอยู่ เพราะวิกฤตหนี้ยังคงบั่นทอนเศรษฐกิจและอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับสูง "ยูโรโซน มีท่าทางอยู่บนเส้นทางของการเติบโตขึ้นปานกลางในช่วงไตรมาส 3 แต่ดูเหมือนว่าการฟื้นตัวจะเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปและยังคงอ่อนไหวสำหรับเรื่องช็อคใดๆ" โฮเวิร์ด อาร์เชอร์ จากไอเอชเอส โกลบอล อินไซต์ กล่าว
สำนักงานสถิติยูโรสแตท ระบุในการประเมินครั้งที่ 2 ว่าเศรษฐกิจของ 17 ชาติยูโรโซน ซึ่งมีประชากรรวมกันราวๆ 340 ล้านคน ในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน เติบโตขึ้นร้อยละ 0.3 หลังจากช่วงไตรมาสแรกหดตัวร้อยละ 0.2
แต่หากนับรวมทั้ง 27 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป(อียู) จะพบว่าเศรษฐกิจของกลุ่มนี้มีการขยายตัวช่วงไตรมาส 2 ร้อยละ 0.4 ในช่วงไตรมาส 2 ดีกว่าที่ประมาณการณ์ไว้เบื้องต้นร้อยละ 0.3 หลังจากช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม หดตัวที่ร้อยละ 0.1 กระนั้นก็ดีเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ของปี 2012 เศรษฐกิจของยูโรโซนยังหดตัวลงร้อยละ 0.5 ส่วนอียูทางตัว
ทั้งนี้เมื่อเทียบกับสหรัฐฯแล้ว ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ เศรษฐกิจอเมริกามีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วง 3 เดือนแรกร้อยละ 0.6 และเติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้อยู่ร้อยละ 1.6
ขณะเดียวกันผลสำรวจทางธุรกิจที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดเผยให้เห็นว่าภาคบริการอันสำคัญของยูโรโซนกลับคืนสู่การเติบโตแล้วในเดือนสิงหาคม และกิจกรรมทางธุรกิจโดยรวมก็แตะระดับสูงสุดในรอบ 26 เดือน
ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวมภาคบริการและภาคการผลิตของยูโรโซนที่สำรวจโดยมาร์กิต อีโคโนมิคส์ พบว่ามีการขยายตัวจาก 50.5 จุดของเดือนกรกฎาคม สู่ร้อยละ 51.5 จุดในเดือนสิงหาคม แต่ก็น้อยกว่าที่คาดหมายไว้เบื้องต้นว่าจะเติบโต 51.7 จุด
อย่างไรก็ตามในข้อมูลก็เป็นที่น่าสังเกตว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนี ชาติเศรษฐกิจหมายเลข 1 ของยุโรป ไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งระดับการจ้างงานที่ลดลงเรื่อยๆ และยิ่งไปกว่านั้น ฝรั่งเศส ชาติเศรษฐกิจหมายเลข 2 ระดับการจ้างงานในเดือนกรกฎาคมก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ
"ดูเหมือนการฟื้นต้วของยูโรโซนกำลังขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ด้วยหลายภาคส่วนและหลายประเทศค่อยๆโผล่จากภาวะถดถอย" คริส วิลเลียมสัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของมาร์กิตกล่าว ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์อีกคนเสริมว่า "ยูโรโซนเริ่มมีความหวังว่าความเชื่อมี่นที่เพิ่มขึ้นจะช่วยส่งเสริมภาคธุรกิจในการจ้างงานและวางแผนการลงทุน และสนับสนุนให้ผู้บริโภคใช้จ่ายเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามหากพิจารณาดูองค์ประกอบต่างๆ ดูเหมือนว่าทิศทางในแง่บวกจะยังคงอยู่ในวงจำกัด"
INFO: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000111441
วันศุกร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2556
BTS แจกวอร์แรนต์ฟรี เอาใจผู้ถือหุ้นรายย่อย ตั้ง'บัวหลวง’เป็น FA ระดมทุนรับรถไฟฟ้า 5 สาย (ข่าวหุ้น)
BTS แจกวอร์แรนต์ (BTS-W3) ฟรี ให้กับผู้ถือหุ้นรายย่อย หลังจ่ายปันผลเสร็จ ชี้อนาคต BTS จะเติบโตรองรับรถไฟฟ้าในและตปท.อีก 5 สาย มั่นใจราคาแปลงสิทธิสูงกว่ากระดาน การันตีราคาหุ้นไม่ต่ำกว่าราคาแปลงฯ แนะลงทุน BTS เหตุเป็นธุรกิจจับต้องได้ ไม่ซับซ้อน แถมมีธุรกิจโฆษณา–คอนโดฯ-โรงแรม ร้านอาหาร และมีที่ดินแปลงใหญ่ใจกลางเมือง พร้อมพัฒนา สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ BTS
อ่านบทวิเคราะห์ ฉบับวันนี้ 16 ส.ค. 56 จากลิงก์ http://kelive.maybank-ke.co.th/
อ่านบทวิเคราะห์ ฉบับวันนี้ 16 ส.ค. 56 จากลิงก์ http://kelive.maybank-ke.co.th/
ITD - BT 5.25 - ซื้อ กำไรไตรมาส 2/56 ลดลงเหลือ 90 ล้านบาท
กำไรไตรมาส 2/56 ลดลงเหลือ 90 ล้านบาท
ผลประกอบการ 2Q56: บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเม้นท์ (ITD) เประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/56 ค่อนข้างน่าผิดหวัง มีกำไรสุทธิที่ทรุดลงเหลือ 90 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.02 บาท) ลดลง 74% จากไตรมาสก่อน แต่ดีขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุน 75 ล้านบาท และ ถ้าหากตัดรายการพิเศษต่างๆ เช่น กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 56 ล้านบาท และ กลับรายการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 11 ล้านบาท จะมีกำไรปกติเพียง 23 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจาก ยอดรับรู้รายได้งานก่อสร้างในไตรมาสนี้ชะลอตัวลงเหลือ 10,254 ล้านบาท (-4%qoq, -7%yoy) และ รายได้อื่นที่ปรับลดลงเหลือ 123 ล้านบาท (-64%qoq, -25%yoy) รวมถึงภาษีจ่ายที่มากกว่าปกติถึง 110 ล้านบาท (+105%qoq, +51%yoy) ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารค่อนข้างทรงตัวที่ 548 ล้านบาท (-4%qoq, +2%yoy) เช่นเดียวกับภาระดอกเบี้ยจ่าย 533 ล้านบาท (-6%qoq, -1%yoy)
แนวโน้มผลประกอบการ: เรายังมองปัจจัยที่จะช่วยหนุนผลประกอบการในอนาคต คือ งานในมือที่สูงถึง 2.2 แสนล้านบาท และ ในอนาคตจะได้งานอีกจำนวนมาก เช่น โครงการน้ำกำลังอยู่ในช่วงทำประชาพิจารณ์ และ EHIA คาดจะเซ็นสัญญาได้ในปลายปีนี้ หรือ ต้นปีหน้า จะช่วยเพิ่มงานในมืออีก 6 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท วาระที่ 2 จะเข้าสู่สภาฯในสัปดาห์หน้า คาดจะผ่านสภาได้ สำหรับงานต่างประเทศ จะมีโครงการทวายในพม่า มีความคืบหน้าเป็นลำดับ ประกาศร่วมมือกับ ROJNA เพื่อพัฒนาที่นิคมอุตสาหกรรม 127,000 ไร่ ปัจจุบันกำลังหาพันธมิตรรายอื่นๆในโครงการต่างๆ เช่น ไฟฟ้า ระบบน้ำ ท่าเรือ ระบบสื่อสาร และ ยังมีงานใน โมซัมบิก ซึ่ง ITD ชนะงานโครงการก่อสร้างรถไฟระยะทาง 500 กม. และสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ มูลค่างาน 2-3 แสนล้านบาท การเดินทางเยือนประเทศโมซัมบิก ของนายกรัฐมนตรีไทย เร็วๆนี้ สะท้อนเป็นประเทศที่มีศักยภาพ เพราะอุดมด้วย ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ก๊าซธรรมชาติ, ถ่านหิน, Aluminuim รวมถึงมีลักษณะภูมิศาสตร์เป็น Gateway ระหว่างมหาสมุทรอินเดีย
คำแนะนำการลงทุน: กำไรไตรมาส 2/56 ที่น่าผิดหวังได้กดดันราคาหุ้นเมื่อวานติดลบ 3.6% แต่จาก Story ต่างๆในอนาคตยังหนุน จากแนวโน้มขาขึ้นของงานก่อสร้าง เราคงคำแนะนำ ซื้อ ในลักษณะเก็งกำไร ประเมินราคาเป้าหมาย 6.9 บาท บนฐาน P/BV+1SD = 2.69 เท่า อย่างไรก็ตามหุ้น ITD เป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะประเด็นความเสี่ยงจากโครงการต่างๆของ ITD ขึ้นกับเสถียรภาพของรัฐบาล เช่น โครงการทวาย โครงการน้ำ และ โครงการ 2 ล้านล้านบาท
INFO: http://kelive.maybank-ke.co.th/KimEng/servlet/ReportListingServlet?action=ViewStock&DBId=2&rid=21910&lang=2
ผลประกอบการ 2Q56: บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเม้นท์ (ITD) เประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/56 ค่อนข้างน่าผิดหวัง มีกำไรสุทธิที่ทรุดลงเหลือ 90 ล้านบาท (กำไรต่อหุ้น 0.02 บาท) ลดลง 74% จากไตรมาสก่อน แต่ดีขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุน 75 ล้านบาท และ ถ้าหากตัดรายการพิเศษต่างๆ เช่น กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 56 ล้านบาท และ กลับรายการค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ 11 ล้านบาท จะมีกำไรปกติเพียง 23 ล้านบาท ทั้งนี้เนื่องจาก ยอดรับรู้รายได้งานก่อสร้างในไตรมาสนี้ชะลอตัวลงเหลือ 10,254 ล้านบาท (-4%qoq, -7%yoy) และ รายได้อื่นที่ปรับลดลงเหลือ 123 ล้านบาท (-64%qoq, -25%yoy) รวมถึงภาษีจ่ายที่มากกว่าปกติถึง 110 ล้านบาท (+105%qoq, +51%yoy) ส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารค่อนข้างทรงตัวที่ 548 ล้านบาท (-4%qoq, +2%yoy) เช่นเดียวกับภาระดอกเบี้ยจ่าย 533 ล้านบาท (-6%qoq, -1%yoy)
แนวโน้มผลประกอบการ: เรายังมองปัจจัยที่จะช่วยหนุนผลประกอบการในอนาคต คือ งานในมือที่สูงถึง 2.2 แสนล้านบาท และ ในอนาคตจะได้งานอีกจำนวนมาก เช่น โครงการน้ำกำลังอยู่ในช่วงทำประชาพิจารณ์ และ EHIA คาดจะเซ็นสัญญาได้ในปลายปีนี้ หรือ ต้นปีหน้า จะช่วยเพิ่มงานในมืออีก 6 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท วาระที่ 2 จะเข้าสู่สภาฯในสัปดาห์หน้า คาดจะผ่านสภาได้ สำหรับงานต่างประเทศ จะมีโครงการทวายในพม่า มีความคืบหน้าเป็นลำดับ ประกาศร่วมมือกับ ROJNA เพื่อพัฒนาที่นิคมอุตสาหกรรม 127,000 ไร่ ปัจจุบันกำลังหาพันธมิตรรายอื่นๆในโครงการต่างๆ เช่น ไฟฟ้า ระบบน้ำ ท่าเรือ ระบบสื่อสาร และ ยังมีงานใน โมซัมบิก ซึ่ง ITD ชนะงานโครงการก่อสร้างรถไฟระยะทาง 500 กม. และสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ มูลค่างาน 2-3 แสนล้านบาท การเดินทางเยือนประเทศโมซัมบิก ของนายกรัฐมนตรีไทย เร็วๆนี้ สะท้อนเป็นประเทศที่มีศักยภาพ เพราะอุดมด้วย ทรัพยากรธรรมชาติ เช่น ก๊าซธรรมชาติ, ถ่านหิน, Aluminuim รวมถึงมีลักษณะภูมิศาสตร์เป็น Gateway ระหว่างมหาสมุทรอินเดีย
คำแนะนำการลงทุน: กำไรไตรมาส 2/56 ที่น่าผิดหวังได้กดดันราคาหุ้นเมื่อวานติดลบ 3.6% แต่จาก Story ต่างๆในอนาคตยังหนุน จากแนวโน้มขาขึ้นของงานก่อสร้าง เราคงคำแนะนำ ซื้อ ในลักษณะเก็งกำไร ประเมินราคาเป้าหมาย 6.9 บาท บนฐาน P/BV+1SD = 2.69 เท่า อย่างไรก็ตามหุ้น ITD เป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะประเด็นความเสี่ยงจากโครงการต่างๆของ ITD ขึ้นกับเสถียรภาพของรัฐบาล เช่น โครงการทวาย โครงการน้ำ และ โครงการ 2 ล้านล้านบาท
INFO: http://kelive.maybank-ke.co.th/KimEng/servlet/ReportListingServlet?action=ViewStock&DBId=2&rid=21910&lang=2
BTS - BT 8.50 - ซื้อ สรุปประเด็นจากการประชุมนักวิเคราะห์
สรุปประเด็นจากการประชุมนักวิเคราะห์
ประเด็นการลงทุน : เรามีความเห็นเป็น "บวก" กับการประชุมนักวิเคราะห์เย็นวานนี้ โดย BTS ชี้แจงได้ชัดเจนว่าภายหลังขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิให้ BTSGIF แล้ว ผลการดำเนินงานหลัก ก็ยังคงมีกำไรได้ในระดับสูงอย่างเหนียวแน่ ขณะที่การเตรียมความพร้อมด้านการระดมทุนเพื่อเข้าพัฒนารถไฟฟ้าอีก 3-4 สายเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ซึ่งจะทำให้ BTS มีความพร้อมและสามารถเข้าไปลงทุนใหม่ได้ในหลายรูปแบบไม่ว่าภาครัฐจะสนับสนุนมากน้อยอย่างไร เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 12.30 บาท/ หุ้น อิง SOTP (ธุรกิจหลัก 10.30 บาท/ หุ้น + upside จากการพัฒนาอสังหาฯ และการรับจ้างเดินรถในอนาคต 2.00 บาท/ หุ้น)
ภาพหลัง BTSGIF กำไรปกติ 1Q56/57 ยังดูดี : ภายหลังบริษัทได้อธิบายถึงความซับซ้อนของการบันทึกบัญชีเกี่ยวเนื่องกับ BTSGIF ที่ต้องมีการนำมาตรฐานบัญชี TAS37, TAS18 และ TAS28 มาเกี่ยวข้อง รวมถึงผลกระทบจากมาตรฐานบัญชีใหม่ของ TAS12 ทำให้สรุปได้ว่าภายหลังขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิให้แก่ BTSGIF แล้ว กำไรปกติของ BTS ยังคงเหลือที่ 641 ล้านบาท ซึ่งยังคงเติบโตได้ 189% YoY ซึ่งการที่ผลกำไรปกติที่ยังคงเติบโตได้นี้ ถูกสนับสนุนด้วยการเติบโตแข็งแกร่งของธุรกิจสื่อโฆษณา (สัดส่วนรายได้ 33% vs 29% ก่อนหน้า) ธุรกิจอสังหาฯ (สัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเป็น 39% vs 7% ก่อนหน้า) ดอกเบี้ยรับกว่า 280 ล้านบาท จากกระแสเงินสดคงเหลือจำนวนมาก รวมถึงการยังได้รับส่วนแบ่งกำไร 33% จาก BTSGIF สะท้อนเป็นกำไรของ BTS 126 ล้านบาท
การพิจารณา พรบ. 2 ล้านล้าน จะไม่ทำให้การลงทุนรถไฟฟ้าล่าช้าไปมากกว่านี้ : ผู้บริหารอธิบายว่าการพัฒนารถไฟฟ้าของประเทศไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากประเด็นการพิจารณาร่าง พรบ. 2 ล้านล้านบาทมากนัก เนื่องจากร่างฯดังกล่าวเป็นการพิจารณาในมุมมองของการก่อหนี้ของภาครัฐ แต่หาก BTS มีความพร้อมทางการเงินที่สูง และสามารถลงทุนแทนรัฐบาลได้ BTS เชื่อว่าด้วยความต้องการที่สูงต่อระบบขนส่งมวลชน การพัฒนารถไฟฟ้าสายใหม่คาดจะเดินหน้าได้อย่างรวดเร็วนับจากนี้ ซึ่งผู้บริหารเปิดเผยเพิ่มเติมว่าการพัฒนา สายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) คาดจะประมูลกันภายในปี 2556 ส่วนต่อขยายสายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่) น่าจะประมูลราวต้นปี 2557 พร้อมกับสายสีชมพู (แคลาย – มีนบุรี)
BTS เริ่มขยับตัวเตรียมความพร้อมทางด้านการเงินแล้ว : BTS เปิดเผยว่าได้เริ่มมีการว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor) เพื่อศึกษาแนวทางในการระดมเงินทุนรับมือกับการลงทุนรถไฟฟ้าเป้าหมาย 3-4 สาย (หรือมากกว่า) แล้ว โดยกำลังพิจารณาใช้เครื่องมือทางการเงินหลายชนิด เช่น กู้ธนาคาร หุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพ ใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้น (Warrant) หรือ การเพิ่มทุนแบบ RO เป็นต้น ซึ่งเรามองว่าด้วยลักษณะการพัฒนาแต่ละโครงการที่เป็นการทยอยลงทุนราว 3 ปี อีกทั้งมีแนวโน้มที่สัมปทานจะอยู่ในรูปแบบ PPP Gross cost (รับจ้างการบริหารเดินรถ ซึ่งไม่ได้รับค่าตั๋วโดยสาร) เรามองว่าเครื่องมือที่อยู่ในลักษณะการทยอยระดมทุนระยะสั้น 2 ปี ตัวอย่างเช่น warrant ก็เป็นแนวทางที่น่าสนใจ อย่างไรก็ดีผู้บริหารยังไม่ได้สรุปเป็นแนวทางที่ชัดเจน ซึ่งคาดว่าคงต้องดูในรายละเอียดว่ารัฐบาลจะสนับสนุนแต่ละโครงการในลักษณะใดประกอบด้วย
INFO: maybank-ke.co.th
ประเด็นการลงทุน : เรามีความเห็นเป็น "บวก" กับการประชุมนักวิเคราะห์เย็นวานนี้ โดย BTS ชี้แจงได้ชัดเจนว่าภายหลังขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิให้ BTSGIF แล้ว ผลการดำเนินงานหลัก ก็ยังคงมีกำไรได้ในระดับสูงอย่างเหนียวแน่ ขณะที่การเตรียมความพร้อมด้านการระดมทุนเพื่อเข้าพัฒนารถไฟฟ้าอีก 3-4 สายเริ่มเห็นเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ซึ่งจะทำให้ BTS มีความพร้อมและสามารถเข้าไปลงทุนใหม่ได้ในหลายรูปแบบไม่ว่าภาครัฐจะสนับสนุนมากน้อยอย่างไร เราคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 12.30 บาท/ หุ้น อิง SOTP (ธุรกิจหลัก 10.30 บาท/ หุ้น + upside จากการพัฒนาอสังหาฯ และการรับจ้างเดินรถในอนาคต 2.00 บาท/ หุ้น)
ภาพหลัง BTSGIF กำไรปกติ 1Q56/57 ยังดูดี : ภายหลังบริษัทได้อธิบายถึงความซับซ้อนของการบันทึกบัญชีเกี่ยวเนื่องกับ BTSGIF ที่ต้องมีการนำมาตรฐานบัญชี TAS37, TAS18 และ TAS28 มาเกี่ยวข้อง รวมถึงผลกระทบจากมาตรฐานบัญชีใหม่ของ TAS12 ทำให้สรุปได้ว่าภายหลังขายรายได้ค่าโดยสารสุทธิให้แก่ BTSGIF แล้ว กำไรปกติของ BTS ยังคงเหลือที่ 641 ล้านบาท ซึ่งยังคงเติบโตได้ 189% YoY ซึ่งการที่ผลกำไรปกติที่ยังคงเติบโตได้นี้ ถูกสนับสนุนด้วยการเติบโตแข็งแกร่งของธุรกิจสื่อโฆษณา (สัดส่วนรายได้ 33% vs 29% ก่อนหน้า) ธุรกิจอสังหาฯ (สัดส่วนเพิ่มขึ้นมาเป็น 39% vs 7% ก่อนหน้า) ดอกเบี้ยรับกว่า 280 ล้านบาท จากกระแสเงินสดคงเหลือจำนวนมาก รวมถึงการยังได้รับส่วนแบ่งกำไร 33% จาก BTSGIF สะท้อนเป็นกำไรของ BTS 126 ล้านบาท
การพิจารณา พรบ. 2 ล้านล้าน จะไม่ทำให้การลงทุนรถไฟฟ้าล่าช้าไปมากกว่านี้ : ผู้บริหารอธิบายว่าการพัฒนารถไฟฟ้าของประเทศไม่น่าจะได้รับผลกระทบจากประเด็นการพิจารณาร่าง พรบ. 2 ล้านล้านบาทมากนัก เนื่องจากร่างฯดังกล่าวเป็นการพิจารณาในมุมมองของการก่อหนี้ของภาครัฐ แต่หาก BTS มีความพร้อมทางการเงินที่สูง และสามารถลงทุนแทนรัฐบาลได้ BTS เชื่อว่าด้วยความต้องการที่สูงต่อระบบขนส่งมวลชน การพัฒนารถไฟฟ้าสายใหม่คาดจะเดินหน้าได้อย่างรวดเร็วนับจากนี้ ซึ่งผู้บริหารเปิดเผยเพิ่มเติมว่าการพัฒนา สายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) คาดจะประมูลกันภายในปี 2556 ส่วนต่อขยายสายสีเขียว (หมอชิต-สะพานใหม่) น่าจะประมูลราวต้นปี 2557 พร้อมกับสายสีชมพู (แคลาย – มีนบุรี)
BTS เริ่มขยับตัวเตรียมความพร้อมทางด้านการเงินแล้ว : BTS เปิดเผยว่าได้เริ่มมีการว่าจ้างที่ปรึกษาทางการเงิน (Financial Advisor) เพื่อศึกษาแนวทางในการระดมเงินทุนรับมือกับการลงทุนรถไฟฟ้าเป้าหมาย 3-4 สาย (หรือมากกว่า) แล้ว โดยกำลังพิจารณาใช้เครื่องมือทางการเงินหลายชนิด เช่น กู้ธนาคาร หุ้นกู้ หุ้นกู้แปลงสภาพ ใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้น (Warrant) หรือ การเพิ่มทุนแบบ RO เป็นต้น ซึ่งเรามองว่าด้วยลักษณะการพัฒนาแต่ละโครงการที่เป็นการทยอยลงทุนราว 3 ปี อีกทั้งมีแนวโน้มที่สัมปทานจะอยู่ในรูปแบบ PPP Gross cost (รับจ้างการบริหารเดินรถ ซึ่งไม่ได้รับค่าตั๋วโดยสาร) เรามองว่าเครื่องมือที่อยู่ในลักษณะการทยอยระดมทุนระยะสั้น 2 ปี ตัวอย่างเช่น warrant ก็เป็นแนวทางที่น่าสนใจ อย่างไรก็ดีผู้บริหารยังไม่ได้สรุปเป็นแนวทางที่ชัดเจน ซึ่งคาดว่าคงต้องดูในรายละเอียดว่ารัฐบาลจะสนับสนุนแต่ละโครงการในลักษณะใดประกอบด้วย
INFO: maybank-ke.co.th
วันพุธที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
'วิชัย’ ซื้อ BTS 13 ล้านหุ้น (ข่าวหุ้น)
“วิชัย ทองแตง” โผล่ถือหุ้น BTS รวดเดียว 13 ล้านหุ้น คาดต้นทุนเฉลี่ย 9 บาท ใช้เงิน 117 ล้านบาท วงการเชื่อต้องเห็นอะไรดีๆ ใน BTS เหตุเม็ดเงินไม่ใช่น้อยๆ ด้าน “คีรี” โชว์ผลประกอบการปี 55 กำไร 2.7 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 22% พร้อมปันผลผู้ถือหุ้นระยะยาว
วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2556
MFEC (ซื้อ - เป้าหมาย 16.30 บาท): เข้าสู่ปีที่ดี เพื่ออีกปีที่ดีกว่า
บมจ. เอ็ม เอฟ อี ซี (MFEC)
เข้าสู่ปีที่ดี เพื่ออีกปีที่ดีกว่า
ประเด็นการลงทุน : ปรับประมาณการกำไรปี 2556 – 2557 ขึ้น 24% และ 37% เป็น 293 ล้านบาท และ 379 ล้านบาท ตามลำดับ เพื่อสะท้อนความแข็งแกร่งของงาน Backlog และงานรอประมูลอีกกว่า 5,000 ล้านบาท และยังมีงานอื่นที่มีโอกาสประมูลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นจากการ M&A บริษัทที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เราประเมินกำไรเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 35% CAGR (2555 – 2558) อ้างอิง PEG 0.6 เท่า ได้ราคาเป้าหมาย 16.30 บาท Upside gain 73% พร้อมผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 4%
ปรับประมาณการกำไรขึ้น 24-37%: สิ้น 1Q56 มี Backlog อยู่ 2,500 ล้านบาท และมีงานรอประมูลอีกราว 5,000 – 6,000 ล้านบาท บริษัทคาดชนะไม่ต่ำกว่า 50% ของทั้งหมด เราปรับประมาณการรายได้ปี 2556 – 2557 ขึ้น 18% และ 21% เป็น 4,785 (Backlog รองรับ 73%) และ 5,679 ล้านบาทตามลำดับ ปรับประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นขึ้น 15 bps และ 18 bps เป็น 22.3% และ 22.5% ตามลำดับ ปรับค่าใช้จ่าย SG&A/Sales ลง 2bps และ 62 bps ตามลำดับ เพื่อสะท้อนผลของการเกิด Synergy ในการควบรวม และบริษัทปรับเปลี่ยนวิธีการคัดเลือกพนักงานใหม่เนื่องจากในอดีตเป็นสิ่งที่สร้างความผันผวนต่อผลประกอบการของบริษัท ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 17 bps และ 80 bps ในปี 2556-2557 ตามลำดับ ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2556 – 2557 เพิ่มขึ้น 24% และ 37% เป็น 293 ล้านบาท และ 379 ล้านบาท ตามลำดับ
Smart Thailand โอกาสใหญ่ยังไม่รวมในประมาณการ: ผู้บริหารระบุว่าโครงการ Smart Thailand เป็นโอกาสครั้งใหญ่ของบริษัท ทำให้บริษัทก้าวเข้าสู่งานวางระบบโทรคมนาคมมากขึ้น ซึ่งได้ประโยชน์ทั้งใน เฟส 1 จากการลงทุนโครงสร้างเพื่อฐานทาง IT และ เฟส 2 การลงทุนในด้าน Software และ Application ของรัฐบาล มูลค่าโครงการราว 30,000 – 40,000 ล้านบาท คาดว่า MFEC จะได้ประโยชน์จากโครงการนี้อย่างมีนัยสำคัญ
M&A เอาของดีแต่ละที่มารวมกัน เพิ่มศักยภาพทำกำไร: MFEC ยังคงมีแผนเดินหน้าทำ M&A กับบริษัทธุรกิจที่เสริมกันซึ่งเป็นบริษัทที่มีศักยภาพที่แตกต่างไปจาก MFEC ทำให้ภาพรวมทั้งกลุ่มพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้ MFEC ให้บริการได้ครบวงจร โดยในปีนี้มีแผนควบรวมกับบริษัทผู้ผลิต Application อีก 1 รายซึ่งมีความโดดเด่นเรื่องบริหารขั้นตอนการทำงานที่ไม่ต้องพึ่งพาผู้เขียวชาญเพียงคนเดียวจึงมีความคล่องตัวมากขึ้นหากระบบมีปัญหา นอกจากนี้ประโยชน์จากการผนึกกำลัง (Synergy) ทำให้ทิศทางอัตรากำไรเป็นบวกมากขึ้น
หุ้นความเสี่ยงต่ำ ปันผลสูง Valuation ควรเป็นพรีเมี่ยม: บริษัทเน้นเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำเป็น 50% ภายใน 5 ปี จากงานบำรุงรักษาระบบ และให้เช่าระบบเป็นรายเดือน เพื่อลดความผันผวนของกำไร ส่วนงานประมูลเน้นงานที่มีอัตรากำไรสูง ตั้งเป้ากำไรเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 15% จึงเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของกำไรลดลง อีกทั้งคาดเงินปันผลปี 2556 ที่ 0.40 บาท คิดเป็นผลตอบแทนสูงที่ 4% ราคาหุ้นจึงควรถูกซื้อขายที่ระดับพรีเมี่ยมกลุ่ม เราประเมินการเติบโตของกำไรเฉลี่ย 3 ปีข้างหน้าที่ 35% CAGR (2555 – 2558) อ้างอิง PEG ที่ 0.6 เท่าได้ราคาเป้าหมายปี 2556 ที่ 14.20 บาท แต่ผลของการ Roll over ราคาเป้าหมายเป็น 2Q57 ทำให้ได้ราคาเป้าหมายที่ 16.30 บาท (เทียบเท่า PE 21 เท่า) มี Upside gain 73% ราคาหุ้นปัจจุบันยังซื้อขายที่ PER 2556 – 2557 ต่ำเพียง 14 เท่า และ 11 เท่า ตามลำดับ จึงคงคำแนะนำ ซื้อ
คาด 2Q56 เติบโตเด่น YoY ทรงตัว QoQ
กำไร 1Q56 รายงานที่ 72 ล้านบาท เติบโตถึง 430% YoY แต่แท้จริงแล้วมีการตั้งสำรองรายการงานระหว่างทำที่เป็นโครงการเก่า และหนี้สูญที่อาจต้อง Write-off ออกไปในอนาคตอยู่จำนวนหนึ่ง ด้วยความต้องการลดความผันผวนของกำไรในอนาคตจึงมีการตัดรายการดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายพิเศษตั้งแต่ 4Q55 และตัดอีกจำนวนราว 25 ล้านบาท ใน 1Q56 หากไม่มีรายการดังกล่าวจะทำให้กำไรสุทธิสูงถึงราว 97 ล้านบาท
ขณะที่ 2Q56 – 3Q56 จะยังมีการตัดรายการดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกราวไตรมาสละ 20 ล้านบาท เราจึงคาดว่ากำไรใน 2Q – 3Q56 จะทรงตัว QoQ แต่โตเด่น YoY ที่ระดับ 75 ล้านบาท+/- และ 4Q56 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีเนื่องจากมีการรับรู้รายได้งานประมูลใหม่ และไม่มีการตัดรายการค่าใช้จ่ายพิเศษอีก
ปี 2557 จะเป็นปีที่ดีมากอีกปีสำหรับ MFEC นอกเหนือจากโอกาสได้งานประมูลรัฐบาลหลายโครงการแล้ว งานประจำกับลุกค้าภาครัฐ และเอกชน เช่น TOT, CAT, AIS, DTAC, KBANK เป็นต้น ยังช่วยเสริม Backlog ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเป็นปีที่ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษเต็มปีด้วยเช่นกัน กอปรกับผลของความพยายามจัดการต้นทุนการจ้างพนักงาน และต้นทุนในการบริการกระบวนการทำงานของทั้งกลุ่ม MFEC จะเริ่มส่งผลชัดเจนขึ้นเราจึงคาดการณ์กำไรของ MFEC จะเติบโตต่ออีก 29% YoY เป็น 379 ล้านบาท และจะมากกว่า 400 ล้านบาทได้ในปี 2558
INFO: maybank-ke.co.th
เข้าสู่ปีที่ดี เพื่ออีกปีที่ดีกว่า
ประเด็นการลงทุน : ปรับประมาณการกำไรปี 2556 – 2557 ขึ้น 24% และ 37% เป็น 293 ล้านบาท และ 379 ล้านบาท ตามลำดับ เพื่อสะท้อนความแข็งแกร่งของงาน Backlog และงานรอประมูลอีกกว่า 5,000 ล้านบาท และยังมีงานอื่นที่มีโอกาสประมูลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงความสามารถในการทำกำไรที่ดีขึ้นจากการ M&A บริษัทที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เราประเมินกำไรเติบโตเฉลี่ยต่อปีที่ 35% CAGR (2555 – 2558) อ้างอิง PEG 0.6 เท่า ได้ราคาเป้าหมาย 16.30 บาท Upside gain 73% พร้อมผลตอบแทนจากเงินปันผลราว 4%
ปรับประมาณการกำไรขึ้น 24-37%: สิ้น 1Q56 มี Backlog อยู่ 2,500 ล้านบาท และมีงานรอประมูลอีกราว 5,000 – 6,000 ล้านบาท บริษัทคาดชนะไม่ต่ำกว่า 50% ของทั้งหมด เราปรับประมาณการรายได้ปี 2556 – 2557 ขึ้น 18% และ 21% เป็น 4,785 (Backlog รองรับ 73%) และ 5,679 ล้านบาทตามลำดับ ปรับประมาณการอัตรากำไรขั้นต้นขึ้น 15 bps และ 18 bps เป็น 22.3% และ 22.5% ตามลำดับ ปรับค่าใช้จ่าย SG&A/Sales ลง 2bps และ 62 bps ตามลำดับ เพื่อสะท้อนผลของการเกิด Synergy ในการควบรวม และบริษัทปรับเปลี่ยนวิธีการคัดเลือกพนักงานใหม่เนื่องจากในอดีตเป็นสิ่งที่สร้างความผันผวนต่อผลประกอบการของบริษัท ส่งผลให้อัตรากำไรจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 17 bps และ 80 bps ในปี 2556-2557 ตามลำดับ ส่งผลให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2556 – 2557 เพิ่มขึ้น 24% และ 37% เป็น 293 ล้านบาท และ 379 ล้านบาท ตามลำดับ
Smart Thailand โอกาสใหญ่ยังไม่รวมในประมาณการ: ผู้บริหารระบุว่าโครงการ Smart Thailand เป็นโอกาสครั้งใหญ่ของบริษัท ทำให้บริษัทก้าวเข้าสู่งานวางระบบโทรคมนาคมมากขึ้น ซึ่งได้ประโยชน์ทั้งใน เฟส 1 จากการลงทุนโครงสร้างเพื่อฐานทาง IT และ เฟส 2 การลงทุนในด้าน Software และ Application ของรัฐบาล มูลค่าโครงการราว 30,000 – 40,000 ล้านบาท คาดว่า MFEC จะได้ประโยชน์จากโครงการนี้อย่างมีนัยสำคัญ
M&A เอาของดีแต่ละที่มารวมกัน เพิ่มศักยภาพทำกำไร: MFEC ยังคงมีแผนเดินหน้าทำ M&A กับบริษัทธุรกิจที่เสริมกันซึ่งเป็นบริษัทที่มีศักยภาพที่แตกต่างไปจาก MFEC ทำให้ภาพรวมทั้งกลุ่มพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้น ทำให้ MFEC ให้บริการได้ครบวงจร โดยในปีนี้มีแผนควบรวมกับบริษัทผู้ผลิต Application อีก 1 รายซึ่งมีความโดดเด่นเรื่องบริหารขั้นตอนการทำงานที่ไม่ต้องพึ่งพาผู้เขียวชาญเพียงคนเดียวจึงมีความคล่องตัวมากขึ้นหากระบบมีปัญหา นอกจากนี้ประโยชน์จากการผนึกกำลัง (Synergy) ทำให้ทิศทางอัตรากำไรเป็นบวกมากขึ้น
หุ้นความเสี่ยงต่ำ ปันผลสูง Valuation ควรเป็นพรีเมี่ยม: บริษัทเน้นเพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำเป็น 50% ภายใน 5 ปี จากงานบำรุงรักษาระบบ และให้เช่าระบบเป็นรายเดือน เพื่อลดความผันผวนของกำไร ส่วนงานประมูลเน้นงานที่มีอัตรากำไรสูง ตั้งเป้ากำไรเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 15% จึงเป็นหุ้นที่มีความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของกำไรลดลง อีกทั้งคาดเงินปันผลปี 2556 ที่ 0.40 บาท คิดเป็นผลตอบแทนสูงที่ 4% ราคาหุ้นจึงควรถูกซื้อขายที่ระดับพรีเมี่ยมกลุ่ม เราประเมินการเติบโตของกำไรเฉลี่ย 3 ปีข้างหน้าที่ 35% CAGR (2555 – 2558) อ้างอิง PEG ที่ 0.6 เท่าได้ราคาเป้าหมายปี 2556 ที่ 14.20 บาท แต่ผลของการ Roll over ราคาเป้าหมายเป็น 2Q57 ทำให้ได้ราคาเป้าหมายที่ 16.30 บาท (เทียบเท่า PE 21 เท่า) มี Upside gain 73% ราคาหุ้นปัจจุบันยังซื้อขายที่ PER 2556 – 2557 ต่ำเพียง 14 เท่า และ 11 เท่า ตามลำดับ จึงคงคำแนะนำ ซื้อ
คาด 2Q56 เติบโตเด่น YoY ทรงตัว QoQ
กำไร 1Q56 รายงานที่ 72 ล้านบาท เติบโตถึง 430% YoY แต่แท้จริงแล้วมีการตั้งสำรองรายการงานระหว่างทำที่เป็นโครงการเก่า และหนี้สูญที่อาจต้อง Write-off ออกไปในอนาคตอยู่จำนวนหนึ่ง ด้วยความต้องการลดความผันผวนของกำไรในอนาคตจึงมีการตัดรายการดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายพิเศษตั้งแต่ 4Q55 และตัดอีกจำนวนราว 25 ล้านบาท ใน 1Q56 หากไม่มีรายการดังกล่าวจะทำให้กำไรสุทธิสูงถึงราว 97 ล้านบาท
ขณะที่ 2Q56 – 3Q56 จะยังมีการตัดรายการดังกล่าวเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีกราวไตรมาสละ 20 ล้านบาท เราจึงคาดว่ากำไรใน 2Q – 3Q56 จะทรงตัว QoQ แต่โตเด่น YoY ที่ระดับ 75 ล้านบาท+/- และ 4Q56 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปีเนื่องจากมีการรับรู้รายได้งานประมูลใหม่ และไม่มีการตัดรายการค่าใช้จ่ายพิเศษอีก
ปี 2557 จะเป็นปีที่ดีมากอีกปีสำหรับ MFEC นอกเหนือจากโอกาสได้งานประมูลรัฐบาลหลายโครงการแล้ว งานประจำกับลุกค้าภาครัฐ และเอกชน เช่น TOT, CAT, AIS, DTAC, KBANK เป็นต้น ยังช่วยเสริม Backlog ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังเป็นปีที่ไม่มีค่าใช้จ่ายพิเศษเต็มปีด้วยเช่นกัน กอปรกับผลของความพยายามจัดการต้นทุนการจ้างพนักงาน และต้นทุนในการบริการกระบวนการทำงานของทั้งกลุ่ม MFEC จะเริ่มส่งผลชัดเจนขึ้นเราจึงคาดการณ์กำไรของ MFEC จะเติบโตต่ออีก 29% YoY เป็น 379 ล้านบาท และจะมากกว่า 400 ล้านบาทได้ในปี 2558
INFO: maybank-ke.co.th
วันพุธที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2556
ITDลอยลำลุ้นสายสีแดงสัญญา3 หลังกลุ่มCKชวดงาน เหตุตกคุณสมบัติเบื้องต้น
ITD ลอยลำเข้าลุ้นประมูลสัญญา 3 สายสีแดง หลัง CK ชวดงานตกคุณสมบัติเบื้องต้น ขณะที่กรรมการประกวดราคาลงมติประกวดราคาต่อ ยันกรรมการทับซ้อนไม่ผิดกติกา ฟากJICA ขู่ถ้าไม่ประมูลเล็งยกเลิกเงินกู้เช่นกัน
ความคิดเห็นและคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ : โครงการรถไฟสายสีแดง มีทั้งหมด 3 สัญญา คือ 1.) สัญญา 1 ช่วงบางซื่อ-รังสิต สัญญา 1 (งานก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) ทาง STEC-UNIQ ชนะการประมูล มูลค่า 29,826 ล้านบาท (สูงกว่าราคากลาง 2.7 หมื่นล้านบาท) 2.) สัญญาที่ 2 งานโยธาสำหรับทางรถไฟ ระยะทาง 21 กิโลเมตร (กม.) ทาง ITD ชนะการประมูลด้วยเสนอราคาต่ำสุดที่ 24,102 ล้านบาท (ราคากลาง 18,816 ล้านบาท) และ 3.) กำลังพิจารณา คือ งานระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล รวมงานจัดซื้อตู้รถไฟฟ้าช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน วงเงิน 26,272 ล้านบาท โดยปัจจุบัน ทั้ง ITD และ CK มี Backlog ล้นมือ คือ ITD มี Backlog 2.3 แสนล้านบาท และ CK มี Backlog 1.4 แสนล้านบาท และ ในอนาคตจะมีทั้งโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาท และ ระบบบริหารจัดการน้ำ 350,000 ล้านบาท ดังนั้น เราคงคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไรทั้งสองหลักทรัพย์ ITD (ราคาเป้าหมาย 9.5 บาท) และ CK (ราคาเป้าหมาย 32 บาท)
INFO: ข่าวหุ้น
ความคิดเห็นและคำแนะนำจากนักวิเคราะห์ : โครงการรถไฟสายสีแดง มีทั้งหมด 3 สัญญา คือ 1.) สัญญา 1 ช่วงบางซื่อ-รังสิต สัญญา 1 (งานก่อสร้างสถานีกลางบางซื่อและศูนย์ซ่อมบำรุง) ทาง STEC-UNIQ ชนะการประมูล มูลค่า 29,826 ล้านบาท (สูงกว่าราคากลาง 2.7 หมื่นล้านบาท) 2.) สัญญาที่ 2 งานโยธาสำหรับทางรถไฟ ระยะทาง 21 กิโลเมตร (กม.) ทาง ITD ชนะการประมูลด้วยเสนอราคาต่ำสุดที่ 24,102 ล้านบาท (ราคากลาง 18,816 ล้านบาท) และ 3.) กำลังพิจารณา คือ งานระบบรถไฟฟ้าและเครื่องกล รวมงานจัดซื้อตู้รถไฟฟ้าช่วงบางซื่อ-ตลิ่งชัน วงเงิน 26,272 ล้านบาท โดยปัจจุบัน ทั้ง ITD และ CK มี Backlog ล้นมือ คือ ITD มี Backlog 2.3 แสนล้านบาท และ CK มี Backlog 1.4 แสนล้านบาท และ ในอนาคตจะมีทั้งโครงการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐาน 2.2 ล้านล้านบาท และ ระบบบริหารจัดการน้ำ 350,000 ล้านบาท ดังนั้น เราคงคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไรทั้งสองหลักทรัพย์ ITD (ราคาเป้าหมาย 9.5 บาท) และ CK (ราคาเป้าหมาย 32 บาท)
INFO: ข่าวหุ้น
วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556
ITD ถอยพัฒนาทวายเปิดทางรัฐบาลถือหุ้น
ITD ถอยจากผู้พัฒนาเป็นผู้ลงทุนโครงการทวาย เปิดทางรัฐบาลไทย-พม่าจัดตั้งโฮลดิ้งคอมพานีในนาม SPV ถือหุ้นรวมกัน 60% พร้อมตั้ง 8 บริษัทดูแล 8 โครงการ ITD จะถือหุ้น 25% ขณะที่ใส่เงิน ทุนไปแล้ว 300 ล้านเหรียญสหรัฐ
วันพฤหัสบดีที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556
THCOM - BT 25.00 - ซื้อ กำไรครั้งแรกในรอบ 5 ปี ปันผลครั้งแรกในรอบ 7 ปี
กำไรครั้งแรกในรอบ 5 ปี ปันผลครั้งแรกในรอบ 7 ปี
ผลประกอบการ 4Q55: THCOM รายงานกำไรสุทธิ 4Q55 ที่ 124 ล้านบาท จากที่ขาดทุน 107 ล้านบาท ใน 3Q55 และ ขาดทุน 314 ล้านบาทใน 4Q54 หากไม่รวมรายการพิเศษขาดทุนจากการดำเนินงานที่ยกเลิกของ Mfone จำนวน 508 ล้านบาท และกำไร/ขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจะทำให้กำไรสุทธิใน 4Q55 อยู่ที่ 600 ล้านบาท ส่งผลให้ทั้งปีกำไรสุทธิอยู่ที่ 174 ล้านบาท จากที่ขาดทุน 490 ล้านบาท ในปี 2554 และเป็นการมีกำไรสุทธิครั้งแรกในรอบ 5 ปี และดีกว่าที่เราคาดว่าจะขาดทุน 19 ล้านบาท โดยปัจจัยหลักมาจากธุรกิจดาวเทียมที่รายได้เติบโตขึ้น และอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้นเป็น 38.7% จาก 31.5% ส่งผลให้ภาพรวมอัตรากำไรขั้นต้นของ THCOM เพิ่มขึ้นก้าวกระโดดจาก 24.6% ในปี 2554 เป็น 38.3% ในปี2555 สูงกว่าประมาณการของเราที่อยู่ที่ 29.2%
แนวโน้มผลประกอบการ 1Q56 และปี 2556: คาดกำไรจะเติบโตดีทั้ง QoQ และ YoY ในกรอบ 200-250 ล้านบาท เนื่องจากอัตรากำไรที่สูงขึ้น และไม่ต้องรับรู้ผลประกอบการของ Mfone ซึ่งปกติสร้างผลขาดทุนให้ THCOM ราว 130 ล้านบาท/ไตรมาส สำหรับผลประกอบการปี 2556 เราประเมินกำไรสุทธิที่ 964 ล้านบาท เติบโต 455% YoY และยังมีโอกาสในการปรับประมาณการขึ้นได้อีกโดยเดือน มี.ค. จะมีความชัดเจนเรื่องส่วนแบ่งรายได้ของการให้บริการ iPSTAR ในจีน และการใช้งานส่วนที่เหลือของ TOT หลังได้ CEO คนใหม่เมื่อวันที่ 13 ก.พ. ทำให้การดำเนินงานต่างๆ กลับมาเดินหน้าต่อ นอกจากนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับลูกค้ารายใหม่ในอินเดียซึ่งเป็นพื้นที่ให้บริการใหญ่เป็นอันดับ2ของ iPSTAR รองจากจีน
คำแนะนำการลงทุน : ช่วง 2Q56 จะมีการยิงดาวเทียมไทยคม 6 ซึ่งคาดเริ่มสร้างรายได้ใน 4Q56 เป็นดาวเทียมที่จะมีกำไรทันทีที่เริ่มให้บริการได้เนื่องจากยอดจองปัจจุบันอยู่ที่ 36% เกินกว่าจุดคุ้มทุนที่ 30% นอกจากนี้เราประเมินว่ามีโอกาสสูงที่จะมีการปรับประมาณการกำไรและราคาเป้าหมายของ THCOM ขึ้นในอนาคตหลังมีความชัดเจนในการขายช่องสัญญาณของ iPSTAR ในช่วง 2Q56 ทั้งในจีน อินเดีย และไทย อย่างไรก็ตามเรายังคงประมาณการกำไรปี 2556 และคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 29.30 บาท นอกจากนี้ THCOM ประกาศเงินปันผลปี 2555 ครั้งแรกในรอบ 7 ปี ที่ 0.40บาท/หุ้น มากกว่าคาดการณ์ของเราและตลาดที่ 0.10-0.14 บาท/หุ้นคิดเป็นผลตอบแทน 1.6%
INFO: http://kelive.maybank-ke.co.th
EUREKA เคาะราคาไอพีโอ2.25บ. จ่อเข้าเทรด1มี.ค.นี้-ชูพื้นฐานแกร่ง
EUREKA เอาฤกษ์ดีวันวาเลนไทน์ เคาะขายไอพีโอ 2.25 บาท ได้ฤกษ์ลงสนามเทรด mai วันที่ 1 มีนาคมนี้ พร้อมแต่งตั้ง บล.ฟินันเซีย ไซรัส เป็นแกนนำจัดจำหน่ายหุ้นร่วมกับโบรกเกอร์ชั้นนำอีก 3 แห่ง ประสานเสียงที่ปรึกษาทางการเงิน การันตีด้วยศักยภาพของธุรกิจที่อนาคตสดใส ผลงานโตอย่างต่อเนื่องทุกปี มั่นใจเปิดจองหุ้นระหว่างวันที่ 18-20 กุมภาพันธ์นี้ กระแสตอบรับดีเยี่ยม ขณะที่ "นรากร ราชพลสิทธิ์" เผยนำเงินลงทุนระบบไอทีเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในการออกแบบและผลิตเครื่องจักร และใช้เป็นทุนหมุนเวียน วางเป้าปีนี้รายได้โตไม่ต่ำกว่า 30%
INFO: ทันหุ้น
INFO: ทันหุ้น
วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556
BTS - BT 7.50 - ซื้อ BTS-W2, หุ้นกู้แปลงสภาพ และแนวโน้มการ Upgrade
BTS-W2, หุ้นกู้แปลงสภาพ และแนวโน้มการ Upgrade
สถานะของ BTS-W2 กลับมาเป็น Out of the money แล้ว : จากราคาปิด BTS วานนี้ (21 ม.ค. 2556) ที่ 7.50 บาท/ หุ้น และราคาปิดของ BTS-W2 ที่ 0.59 บาท/ หุ้น เราพบว่า ปัจจุบันต้นทุนในการซื้อ BTS-W2 (อัตราส่วน 1 W : 0.16 C ราคาแปลงสภาพ 4.375 บาท/ หุ้น) เพื่อนำมาแปลงสภาพ (ครั้งถัดไปสิ้นเดือน มี.ค. 2556) จะอยู่ที่ราว 8.06 บาท/ หุ้น สูงกว่าการซื้อหุ้น BTS ในกระดานราว 7% และสูงกว่าราคาเหมาะสมของ Consensus ที่ 7.79 บาท/ หุ้น ราว 3.5% ขณะที่เมื่อคำนวณมูลค่าของ BTS-W2 ตามทฤษฎี Black-Scholes Model เราพบว่ามูลค่าตามทฤษฎีของ BTS-W2 จะอยู่ที่ 0.50 บาท/ หน่วย ดังนั้นราคาปิดของ BTS-W2 วานนี้ได้สะท้อนว่า BTS-W2 มีสูงกว่าราคาตามทฤษฎีแล้ว 15% และมีต้นทุนในการซื้อแล้วนำไปแปลงเป็นหุ้น BTS แพงกว่าการซื้อในกระดาน 7% ซึ่งเป็นไปได้ว่า นักลงทุนกำลังคาดหวังในทิศทางบวกของ BTS ที่ต่อเนื่องในอนาคต รวมถึงมีการเก็งกำไรระยะสั้นเข้ามาด้วย ดังนั้นนักลงทุนที่ลงทุนใน BTS-W2 จึงควรพิจารณาในประเด็นข้างต้นนี้ด้วย (ดูรายละเอียดตารางหน้า 2)
แรงกดดันจากลูกหุ้นกำลังหมดแล้ว : เย็นวานนี้ BTS ได้รายงานว่ามีผู้ถือหุ้นกู้แปลงสภาพใช้สิทธิแปลงสภาพเข้ามาจำนวน 30 ล้านบาท ทำให้จะมีลูกหุ้น BTS เข้ามาซื้อขายในกระดานอีกราว 5.8 ล้านหุ้น ในวันที่ 23 มกราคมนี้ ซึ่งเรามองว่าแรงกดดันจากลูกหุ้นเหล่านี้จะมีไม่มากแล้วจากฐานจำนวนหุ้น BTS ที่ได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 11,000 ล้านหุ้น ขณะที่ยังคงเหลือหุ้นกู้ฯชุดนี้เพียงราว 500 ล้านบาท หรือแปลงเป็นหุ้น BTS อีกได้เพียง 97 ล้านหุ้นเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าผู้ถือหุ้นกู้ฯชุดนี้จะใช้สิทธิทั้งหมดภายในกำหนด Put option สิ้นเดือนนี้
Upside ยังมี, อยู่ระหว่างทบทวนราคาเหมาะสมใหม่ : แม้ราคาหุ้น BTS จะปรับตัวขึ้น 64% นับแต่เรานำ BTS กลับเข้าสู่ coverage ในเดือน ก.ค. 2554 และให้คำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยประเด็นของการ Turnaround ของธุรกิจที่ผลักดันมาจากมุ่งเน้นการเดินรถไฟฟ้าแทนที่ธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งราคาหุ้นก็ได้สะท้อนเชิงบวกต่อทิศทางนี้แล้ว อย่างไรก็ดีแผนการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (BTSGIF) ที่กำลังเกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปี กำลังจะเปิดโอกาสใหม่ให้ BTS จากการจะได้เงินทุนจำนวนที่สามารถนำไปขยายธุรกิจเดินรถไฟฟ้าในระยะยาวได้ ซึ่งความชัดเจนของการลงทุนใหม่เหล่านี้จะเพิ่ม upside ระยะยาวให้กับราคาเหมาะสมได้อีก ขณะที่ในระยะสั้นผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลพิเศษ จากเม็ดเงินที่เหลือที่เราคาดราว 1 หมื่นล้านบาท หลังการจัดตั้ง BTSGIF และรายจ่ายลงทุน คาดจะนำมาจ่ายปันผลพิเศษได้ราว 0.80-1.00 บาท/ หุ้น ให้ผลตอบแทนน่าพอใจ 10-13% ปัจจุบันเราอยู่ระหว่างศึกษาในประเด็นการลงทุนใหม่ เพื่อปรับปรุงราคาเหมาะสมขึ้นจาก Upside ดังกล่าว คำแนะนำเดิม "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 7.57 บาท/ หุ้น อิง SOTP (หมายเหตุ BTS ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 24 ม.ค. เพื่อจ่ายปันผล 1H55/56 จำนวน 16.3 สตางค์/ หุ้น)
รายละเอียดโดยสรุป : BTS-W2 มีอายุคงเหลืออีก 293 วัน โดยจะหมดอายุในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ซึ่ง BTS-W2 นี้มีจำนวนทั้งสิ้น 5,027 ล้านหน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 Warrant : 0.16 Common share และมีราคาใช้สิทธิ 4.375 บาท/ 1 หุ้น BTS
*หมายเหตุ นักลงทุนสามารถดาว์นโหลดเพื่อดูตาราง warrant สรุปเป็นประจำทุกวันได้ที่หน้าเว๊บไซต์ http://www.kelive.maybank-ke.co.th ในหัวข้อ DOWNLOADS
ตารางที่ 1 : คำนวณต้นทุนในการซื้อ BTS-W2 และนำไปใช้สิทธิแปลงสภาพ
INFO: http://kelive.maybank-ke.co.th/KimEng/servlet/MemberServlet?operation=Login&source=F&action=ViewStock&DBId=2&rid=19967&lang=2&more=1
สถานะของ BTS-W2 กลับมาเป็น Out of the money แล้ว : จากราคาปิด BTS วานนี้ (21 ม.ค. 2556) ที่ 7.50 บาท/ หุ้น และราคาปิดของ BTS-W2 ที่ 0.59 บาท/ หุ้น เราพบว่า ปัจจุบันต้นทุนในการซื้อ BTS-W2 (อัตราส่วน 1 W : 0.16 C ราคาแปลงสภาพ 4.375 บาท/ หุ้น) เพื่อนำมาแปลงสภาพ (ครั้งถัดไปสิ้นเดือน มี.ค. 2556) จะอยู่ที่ราว 8.06 บาท/ หุ้น สูงกว่าการซื้อหุ้น BTS ในกระดานราว 7% และสูงกว่าราคาเหมาะสมของ Consensus ที่ 7.79 บาท/ หุ้น ราว 3.5% ขณะที่เมื่อคำนวณมูลค่าของ BTS-W2 ตามทฤษฎี Black-Scholes Model เราพบว่ามูลค่าตามทฤษฎีของ BTS-W2 จะอยู่ที่ 0.50 บาท/ หน่วย ดังนั้นราคาปิดของ BTS-W2 วานนี้ได้สะท้อนว่า BTS-W2 มีสูงกว่าราคาตามทฤษฎีแล้ว 15% และมีต้นทุนในการซื้อแล้วนำไปแปลงเป็นหุ้น BTS แพงกว่าการซื้อในกระดาน 7% ซึ่งเป็นไปได้ว่า นักลงทุนกำลังคาดหวังในทิศทางบวกของ BTS ที่ต่อเนื่องในอนาคต รวมถึงมีการเก็งกำไรระยะสั้นเข้ามาด้วย ดังนั้นนักลงทุนที่ลงทุนใน BTS-W2 จึงควรพิจารณาในประเด็นข้างต้นนี้ด้วย (ดูรายละเอียดตารางหน้า 2)
แรงกดดันจากลูกหุ้นกำลังหมดแล้ว : เย็นวานนี้ BTS ได้รายงานว่ามีผู้ถือหุ้นกู้แปลงสภาพใช้สิทธิแปลงสภาพเข้ามาจำนวน 30 ล้านบาท ทำให้จะมีลูกหุ้น BTS เข้ามาซื้อขายในกระดานอีกราว 5.8 ล้านหุ้น ในวันที่ 23 มกราคมนี้ ซึ่งเรามองว่าแรงกดดันจากลูกหุ้นเหล่านี้จะมีไม่มากแล้วจากฐานจำนวนหุ้น BTS ที่ได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 11,000 ล้านหุ้น ขณะที่ยังคงเหลือหุ้นกู้ฯชุดนี้เพียงราว 500 ล้านบาท หรือแปลงเป็นหุ้น BTS อีกได้เพียง 97 ล้านหุ้นเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าผู้ถือหุ้นกู้ฯชุดนี้จะใช้สิทธิทั้งหมดภายในกำหนด Put option สิ้นเดือนนี้
Upside ยังมี, อยู่ระหว่างทบทวนราคาเหมาะสมใหม่ : แม้ราคาหุ้น BTS จะปรับตัวขึ้น 64% นับแต่เรานำ BTS กลับเข้าสู่ coverage ในเดือน ก.ค. 2554 และให้คำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยประเด็นของการ Turnaround ของธุรกิจที่ผลักดันมาจากมุ่งเน้นการเดินรถไฟฟ้าแทนที่ธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งราคาหุ้นก็ได้สะท้อนเชิงบวกต่อทิศทางนี้แล้ว อย่างไรก็ดีแผนการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (BTSGIF) ที่กำลังเกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปี กำลังจะเปิดโอกาสใหม่ให้ BTS จากการจะได้เงินทุนจำนวนที่สามารถนำไปขยายธุรกิจเดินรถไฟฟ้าในระยะยาวได้ ซึ่งความชัดเจนของการลงทุนใหม่เหล่านี้จะเพิ่ม upside ระยะยาวให้กับราคาเหมาะสมได้อีก ขณะที่ในระยะสั้นผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลพิเศษ จากเม็ดเงินที่เหลือที่เราคาดราว 1 หมื่นล้านบาท หลังการจัดตั้ง BTSGIF และรายจ่ายลงทุน คาดจะนำมาจ่ายปันผลพิเศษได้ราว 0.80-1.00 บาท/ หุ้น ให้ผลตอบแทนน่าพอใจ 10-13% ปัจจุบันเราอยู่ระหว่างศึกษาในประเด็นการลงทุนใหม่ เพื่อปรับปรุงราคาเหมาะสมขึ้นจาก Upside ดังกล่าว คำแนะนำเดิม "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 7.57 บาท/ หุ้น อิง SOTP (หมายเหตุ BTS ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 24 ม.ค. เพื่อจ่ายปันผล 1H55/56 จำนวน 16.3 สตางค์/ หุ้น)
รายละเอียดโดยสรุป : BTS-W2 มีอายุคงเหลืออีก 293 วัน โดยจะหมดอายุในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ซึ่ง BTS-W2 นี้มีจำนวนทั้งสิ้น 5,027 ล้านหน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 Warrant : 0.16 Common share และมีราคาใช้สิทธิ 4.375 บาท/ 1 หุ้น BTS
*หมายเหตุ นักลงทุนสามารถดาว์นโหลดเพื่อดูตาราง warrant สรุปเป็นประจำทุกวันได้ที่หน้าเว๊บไซต์ http://www.kelive.maybank-ke.co.th ในหัวข้อ DOWNLOADS
ตารางที่ 1 : คำนวณต้นทุนในการซื้อ BTS-W2 และนำไปใช้สิทธิแปลงสภาพ
INFO: http://kelive.maybank-ke.co.th/KimEng/servlet/MemberServlet?operation=Login&source=F&action=ViewStock&DBId=2&rid=19967&lang=2&more=1
วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556
BLAND เผยซื้อหุ้นอิมแพ็คเพิ่มส่งผลมูลค่าสินทรัพย์สูงขึ้น 0.76 บ./หุ้น
บมจ.บางกอกแลนด์(BLAND) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 ม.ค.56 บริษัทได้ชำระเงินงวดสุดท้ายจำนวน 2.1 พันล้านบาทให้แก่ผู้ขายและการซื้อหุ้น บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด(อิมแพ็ค) จำนวนร้อยละ 44.82 จากบริษัทเซ้าท์ อีส เอเชีย ออพพอตูนิตี้ ฟันด์ จำกัด เสร็จสมบูรณ์
จากผลของการทำการรายดังกล่าว ทำให้ปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของหุ้นทั้งหมดของอิมแพ็ค และบริษัทจะบันทึกกำไรและส่วนของผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นจำนวน 2.7 พันล้านบาท ซึ่งแสดงมูลค่าต่อหุ้นของบริษัทเท่ากับ 0.15 บาท ในงบการเงินไตรมาสที่ 4 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.56 ของบริษัท
นอกจากนี้เรื่องดังกล่าวข้างต้นแล้ว บริษัท ทีเอพี แวลูเอชั่น จำกัด บริษัทประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์อิสระได้ทำการประเมินราคาที่ดินและอาคารทั้งหมดของอิมแพ็คเสร็จสิ้นเมื่อเดือน ธ.ค.55 ในรายงานของผู้ประเมินราคาซึ่งออกเมื่อวันที่ 8 ม.ค.56 ให้การรับรองมูลค่าที่ดินและอาคารรวมทั้งหมดเป็นจำนวนเงิน 21.23 พันล้านบาท มูลค่าทางบัญชีที่ได้บันทึกไว้ในงบการเงิสรวมของบริษัทกับราคาประเมินแสดงการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สินจำนวน 10.84 พันล้านบาท ซึ่งแสดงมูลค่าต่อหุ้นของบริษัทเท่ากับ 0.61 บาท
เมื่อนำผลจากการได้มาซึ่งหุ้นและการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ มูลค่าทรัพย์สินรวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 0.76 บาท/หุ้น
INFO: อินโฟเควสท์
เอกสารจาก www.set.or.th : การได้มาซึ่งหุ้นจำนวนร้อยละ 44.82 ของบริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด
ข่าวการวิเคราห์ที่ผ่านมา
จากผลของการทำการรายดังกล่าว ทำให้ปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของหุ้นทั้งหมดของอิมแพ็ค และบริษัทจะบันทึกกำไรและส่วนของผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นจำนวน 2.7 พันล้านบาท ซึ่งแสดงมูลค่าต่อหุ้นของบริษัทเท่ากับ 0.15 บาท ในงบการเงินไตรมาสที่ 4 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.56 ของบริษัท
นอกจากนี้เรื่องดังกล่าวข้างต้นแล้ว บริษัท ทีเอพี แวลูเอชั่น จำกัด บริษัทประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์อิสระได้ทำการประเมินราคาที่ดินและอาคารทั้งหมดของอิมแพ็คเสร็จสิ้นเมื่อเดือน ธ.ค.55 ในรายงานของผู้ประเมินราคาซึ่งออกเมื่อวันที่ 8 ม.ค.56 ให้การรับรองมูลค่าที่ดินและอาคารรวมทั้งหมดเป็นจำนวนเงิน 21.23 พันล้านบาท มูลค่าทางบัญชีที่ได้บันทึกไว้ในงบการเงิสรวมของบริษัทกับราคาประเมินแสดงการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สินจำนวน 10.84 พันล้านบาท ซึ่งแสดงมูลค่าต่อหุ้นของบริษัทเท่ากับ 0.61 บาท
เมื่อนำผลจากการได้มาซึ่งหุ้นและการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ มูลค่าทรัพย์สินรวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 0.76 บาท/หุ้น
INFO: อินโฟเควสท์
เอกสารจาก www.set.or.th : การได้มาซึ่งหุ้นจำนวนร้อยละ 44.82 ของบริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด
ข่าวการวิเคราห์ที่ผ่านมา
วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556
SSI : บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) เปลี่ยนมือหุ้น จาก NEZU CAPITAL เป็น HOLLY GROVE II LLC
SEC : สรุปแบบ 246-2 ประจำวันที่ 16 มกราคม 2556
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ได้รับแบบรายงานการได้มา/จำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2) ซึ่งสรุปได้ ดังนี้
1. รายงานการจำหน่าย หุ้นของบมจ. เอฟโวลูชั่น แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)(listed)
โดย NEZU CAPITAL
ซึ่งเป็นการจำหน่าย เมื่อวันที่ 27/12/2555
จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น -7.64% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น 0.0% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
2. รายงานการได้มา หุ้นของบมจ. เอฟโวลูชั่น แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)(listed)
โดย HOLLY GROVE II LLC
ซึ่งเป็นการได้มา เมื่อวันที่ 27/12/2555
จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็น 7.64% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น 7.64% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
ท่านสามารถดูรายละเอียดจากเอกสารภาพได้ที่
http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin/daily246.php
จรัมพร เผยมีหุ้น 61 ตัว พี/อีสูงเกิน 40 เท่า ชี้ราคาพุ่งไม่มีเหตุผลและพื้นฐานรองรับ
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยกับ FinanceThai.com ถึง สาเหตุที่ ตลท.ต้องทำหนังสือถึงบริษัทหลักทรัพย์
(บล.)ทุกแห่ง เพื่อขอความร่วมมือในการกำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีการเก็งกำไรสูงว่า ในช่วงที่ผ่านมา จากการตรวจสอบ พบว่า มีหุ้นที่มีอัตราราคาต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี) สูงเกิน 40 เท่า สูงถึง 61 ตัว ซึ่งรวมทั้งหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก และส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ไม่มีพื้นฐานที่ดีรองรับ
' มีที่ไหน หุ้น 61 ตัวพี/อี สูงเกิน 40 เท่า มันไม่สมเหตุสมผล เราจึงต้องเตือนโบรกเกอร์ให้ดูแลนักลงทุนดีๆว่า พี/อี สูงขนาดนี้บริษัทมีพื้นฐานรองรับที่ดีพอหรือไม่ เพราะการที่พี/อี สูง หมายความว่ากำไรของบริษัทต้องเติบโตขึ้นในทิศทางที่ดี แล้วหุ้นที่พี/อี สูงเกิน 40 เท่า มันมีกำไรที่ดีหรือไม่ ถ้าไม่มีกำไร ไม่มีพื้นฐานที่ดี ก็ไม่ควรไปลงทุน' นายจรัมพร กล่าว
ทั้งนี้ ตลท. มีมาตรการตรวจสอบและดูแลความเคลื่อนไหวราคาหุ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว ซึ่งหากการขอความร่วมมือจากโบรกเกอร์ครั้งนี้ ไม่ทำให้ความร้อนแรงของราคาหุ้นลดลง
ตลท.ยังมีมาตรการคุมเข้มอื่น ๆ รองรับนอกเหนือจากมาตรการเบื้องต้น คือ การให้ลูกค้าซื้อขายผ่านบัญชีแคชบาลานซ์ และให้บริษัทชี้แจงข้อมูล (Trading Alert List)
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนทุกคนควรใช้สติในการลงทุน โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจบริษัทฯ เป็นหลัก และควรใช้เงินสดในการลงทุน ไม่ควรกู้ยืมเงินมาลงทุน เพื่อป้องกัน การเกิดปัญหาภายหลัง
เปิดโผ 65 หุ้น พี/อี สูงเกิน 40 เท่า
จากกรณีที่นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่ง
ประเทศไทย (ตลท.) ออกมาเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบของ ตลท. พบว่า มีหุ้นที่มีอัตราราคา
ต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี) สูงเกิน 40 เท่า นั้น ทางทีมงาน eFinanceThai.com ได้ตรวจสอบข้อมูล
ณ วันที่ 16 มกราคม 2556 พบว่า มีทั้งสิ้น 65 หลักทรัพย์ที่มีพี/อี สูงเกิน 40 เท่า ดังนี้
หลักทรัพย์ พี/อี
A 42.02
AJ 40.61
AQUA 89.82
ARIP 41.73
BEAUTY 45.44
BJC 45.4
BLAND 60.7
BROCK 76.37
BSM 75.61
BTNC 52.23
BTS 46.59
CEN 66.34
CENTEL 40.88
CK 1042.54
COLOR 78.43
CPALL 40.84
CSP 41.57
EE 917.97
EMC 43.16
FORTH 71.15
GBX 43.27
GFPT 68.19
GLOBAL 70.69
GRAMMY 43.61
IVL 42.57
JTS 55.02
KC 73.49
KKC 46.5
MILL 44.21
NEW 54.53
OFM 400.73
OHTL 44.99
OISHI 50.85
POST 139.04
PPC 48.3
PPS 45.66
PSL 86.18
ROBINS 43.65
ROJNA 126.05
SABINA 113.99
SAMCO 186.64
SEAFCO 59.82
SIM 181.18
SOLAR 47.12
SPCG 271.85
SSC 111.89
SST 45.28
STA 244.66
STPI 42.58
TCC 45.59
TFD 49.45
TH 250.01
TICON 47.12
TOG 2148.87
TVD 44.23
TWZ 51.66
US 387
UV 164.9
UWC 59.99
VGI 52.29
VIH 49.37
VTE 148.51
WAVE 255.46
WHA 80.89
WIN 43.48
INFO: eFinancethai
วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556
อย่าหวังรวยลัดจากตลาดหุ้น - ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ปี 2546 คงจะต้องถูกจารึกว่าเป็นปีที่ตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทนดีที่สุดปีหนึ่งในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้น เพราะดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นกว่า 100% จากดัชนีประมาณ 356 จุดเป็นประมาณ 772 จุดในวันสิ้นปี
นักลงทุนทุกกลุ่มในตลาดต่างก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ บางคนกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์จากเงินที่นำมาลงทุนในหุ้น บางคนกำไรเพียงหลักสิบเปอร์เซ็นต์ ความดีใจและความภาคภูมิใจของนักลงทุนก็ลดหลั่นกันไปตามผลกำไรที่ได้รับเช่นเดียวกับความมั่นใจที่เกิดขึ้นจากการเล่นหุ้น
หลายๆคนอาจจะเริ่มฝันว่า ได้พบหนทางสู่ความมั่งคั่งอย่างง่ายดายและรวดเร็ว บางคนเริ่มคิดถึงวันที่ตนเองจะมีอิสรภาพทางการเงินในไม่ช้า ทั้งๆที่เพิ่งจะเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์
สิ่งที่คนจำนวนมากในตลาดหุ้นคิดและเชื่อกันในขณะนี้ก็คือ หุ้นเป็นทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูงมาก และถ้าทำโพลถามนักลงทุนว่า เขาคิดว่าตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเท่าไรในระยะยาว คำตอบคงเป็น 30 – 40% ต่อปีขึ้นไป โดยเฉพาะในปี 2547 นั้น หุ้นคงจะวิ่งกระฉูดไม่แพ้ปี 2546 เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เอื้ออำนวยต่อตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่ และน่าจะดีขึ้นด้วยซ้ำไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะเศรษฐกิจที่เขาบอกกันว่าจะดียิ่งขึ้นไปอีก
แต่ถ้าถามว่ามีนักลงทุนในตลาดหุ้นกี่คนที่ร่ำรวย หรือมีอิสระทางการเงินแล้วจากการลงทุนในตลาดหุ้น คำตอบก็คือ น้อยมาก แม้ว่าจะไม่มีใครทำการศึกษาเรื่องนี้ แต่ผมเชื่อว่าคนที่รวยจากการลงทุนหรือเล่นหุ้นจริงๆนั้น มีไม่เกิน 1 ใน 100 คนที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการลงทุน ผมคิดว่าคงมีพอสมควรหลังจากที่ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ส่วนที่เหลือไม่ต่ำกว่า 70 – 80% ของนักลงทุนนั้น ผมเชื่อว่ายังไม่ได้กำไรจากหุ้นเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ ยกเว้นปี 2546 ที่ได้กำไรชดเชยมาบ้าง
เพราะข้อเท็จของหุ้นก็คือ ในช่วงเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละประมาณ 10% เท่านั้น โดยเป็นผลตอบแทนที่เกิดจากการปรับตัวขึ้นของดัชนีประมาณ 7 – 8% และผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 2 – 3% ต่อปี และข้อมูลนี้ก็บังเอิญใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นในสหรัฐที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 10 – 11% ต่อปี โดยเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 50 – 60 ปีขึ้นไป
ข้อเท็จจริงต่อมาของตลาดหุ้นก็คือ ผลตอบแทนจากการลงทุนมีการขึ้นลงผันผวนไปเรื่อยๆ แม้ว่าการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อเนื่องมายาวนานหลายสิบปี โดยที่มีน้อยครั้งมากที่เศรษฐกิจจะติดลบและเกิดวิกฤติ นานๆครั้งดัชนีตลาดก็จะตกต่ำลงอย่างหนักเป็นเวลา 2 – 3 ปี เช่นเดียวกับที่บางครั้งดัชนีก็ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงเป็นภาวะกระทิงเปลี่ยวอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว ข้อสรุปที่ชัดเจนก็คือ ในระยะยาวตลาดไม่สามารถเติบโตเกิน 10 – 15% ต่อปี โดยเฉลี่ยได้
ด้วยเหตุดังกล่าว นักลงทุนที่คิดว่าตนเองจะสามารถลงทุนทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ปีละ 30 – 40% หรือ บางคนคิดว่าจะสามารถกำไรเป็นเท่าตัวในปีเดียว จึงเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมากเกินไป หรือไม่ก็คงประมาณการฝีมือการลงทุนของตนเองสูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งโอกาสที่จะไม่เป็นเช่นนั้นคงมีอยู่สูง ความผิดหวังจะตามมา และเมื่อถึงเวลานั้น ความคิดและภาพพจน์เกี่ยวกับตลาดหุ้นก็จะเปลี่ยนไป คนจะเลิกคิดว่าตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งที่จะสามารถสร้างความมั่งคั่งที่รวดเร็วได้ และคนจำนวนมากก็จะออกจากตลาดหลักทรัพย์กลับไป “ทำมาหากิน” ตามเดิม
นอกจากผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ได้สูงลิ่วอย่างที่หลายคนคิดแล้ว การจัดสรรเงินมาลงทุนในหุ้นสำหรับคนส่วนมากก็มักจะเป็นจำนวนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงลงทุนในหุ้นไม่เกิน 20 – 30% ของเม็ดเงินที่มี เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่ากำไรจากหุ้นจะเป็น 100% ในปีใดปีหนึ่ง แต่ถ้าเงินส่วนใหญ่อีก 70 – 80% กลับฝากอยู่ในธนาคารได้ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี ผลตอบแทนรวมก็จะได้เพียงประมาณ 21 – 31% เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำให้ได้อย่างรวดเร็ว
ข้อสรุปของผมก็คือ เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับคนทั่วไปที่จะร่ำรวยจากตลาดหุ้น แม้ว่าในช่วงนี้หลายๆคนจะคิดว่าเป็นไปได้ไม่ยาก คนมักจะเอาสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้มาเป็นฐานในการมองไปข้างหน้า สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงปีหรือสองปีมักจะมีอิทธิพลมากกว่าประวัติศาสตร์เกือบ 30 ปีที่ผ่านมาของไทย และประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นนับเป็น 100 ปีของตลาดหุ้นที่เจริญที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา
Value Investor ที่จะประสบความสำเร็จ ร่ำรวย และเป็นอิสระทางการเงินจากตลาดหุ้นได้นั้น ผมคิดว่าจะต้องมองตลาดหุ้นด้วยความเป็นจริง คาดหวังผลตอบแทนปีละไม่เกิน 15% โดยเฉลี่ยจากการลงทุนไม่ว่าภาวะแวดล้อมจะสดใสเพียงใด ไม่ควรลงทุนในหุ้นที่เก็งกำไรสูงแต่ควรซื้อหุ้นที่มีความปลอดภัยมากด้วยเม็ดเงินในสัดส่วนที่สูง อย่าฝากเงินในธนาคารซึ่งให้ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปีมากนัก และสุดท้ายซึ่งหนีไม่พ้นก็คือจะต้องลงทุนในตลาดหุ้นยาวนานไม่ออกไปไหนถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ว่าภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร
การลงทุนให้ประสบความสำเร็จจริงๆนั้น ไม่มีทางลัด และมันต้องการเวลา
วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยพูดว่า “คุณไม่สามารถผลิตเด็กภายใน 1 เดือนโดยใช้ผู้ชาย 9 คนได้ เช่นเดียวกัน การลงทุนนั้นอย่าหวังรวยเร็ว ควรหวังรวยช้าแต่แน่นอนจะดีกว่า”
คอลัมน์ โลกในมุมมองของ Value Investor ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556
เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จัดร่วมงาน “แถลงข่าว และลงนามในสัญญา สนับสนุนวงเงินสินเชื่อ ระหว่าง บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)”
บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ CTH ขอเรียนเชิญท่านสื่อมวลชนเข้าร่วมงานแถลงข่าวการ ลงนามในสัญญาสนับสนุนวงเงินสินเชื่อ กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ด้านการเงินสำหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพการทำงาน ลงทุนด้านธุรกิจโครงข่ายการสื่อสาร ด้านคอนเทนท์คุณภาพทั้งไทยและต่างประเทศ สู่เป้าหมายการเป็นผู้นำผู้ให้บริการสัญญาณโทรทัศน์และบรอดแบนด์คุณภาพ ภายใต้โครงข่ายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสง
ภายในงานท่านจะได้รับฟังถึงวิสัยทัศน์และประโยชน์ต่างๆที่บริษัทฯ จะได้รับจากการทำสัญญากู้เงินกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ โดย คุณวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ คุณวัชร วัชรพล รองประธานกรรมการ และคุณกฤษณัน งามผาติพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) คุณชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ และคุณเดชา ตุลานันท์ รองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) พร้อมนำเสนอแนวโน้มการขยายธุรกิจ ในมุมมองเพื่อการขับเคลื่อนบริษัทและวงการการสื่อสารของประเทศ
ในวันอังคารที่ 8 มกราคม 2556 เวลา 14.00 — 15.30 น.
ณ ห้องดวงโกมล ชั้น 28 ธนาคารกรุงเทพสำนักงานใหญ่ สีลม
กำหนดการ
14.00 น. : ลงทะเบียนสื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติ
14.30 น. : พิธีกรกล่าวเชิญเข้าสู่งาน
14.35 น. : คุณวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และคุณชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการรับการสนับสนุนทางด้านการเงิน และสิ่งที่จะเกิดขึ้นใหม่ในวงการสื่อสารโทรคมนาคม
14.55 น. : ลงนามในสัญญา และถ่ายภาพร่วมกัน โดย คุณวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ คุณวัชร วัชรพล รองประธานกรรมการ บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) คุณชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ และคุณเดชา ตุลานันท์ รองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
15.00 น. : ช่วงสัมภาษณ์บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
15.30 น. : จบงาน
INFO: http://www.ryt9.com/s/prg/1561249
ภายในงานท่านจะได้รับฟังถึงวิสัยทัศน์และประโยชน์ต่างๆที่บริษัทฯ จะได้รับจากการทำสัญญากู้เงินกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ โดย คุณวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ คุณวัชร วัชรพล รองประธานกรรมการ และคุณกฤษณัน งามผาติพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) คุณชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ และคุณเดชา ตุลานันท์ รองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) พร้อมนำเสนอแนวโน้มการขยายธุรกิจ ในมุมมองเพื่อการขับเคลื่อนบริษัทและวงการการสื่อสารของประเทศ
ในวันอังคารที่ 8 มกราคม 2556 เวลา 14.00 — 15.30 น.
ณ ห้องดวงโกมล ชั้น 28 ธนาคารกรุงเทพสำนักงานใหญ่ สีลม
กำหนดการ
14.00 น. : ลงทะเบียนสื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติ
14.30 น. : พิธีกรกล่าวเชิญเข้าสู่งาน
14.35 น. : คุณวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และคุณชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการรับการสนับสนุนทางด้านการเงิน และสิ่งที่จะเกิดขึ้นใหม่ในวงการสื่อสารโทรคมนาคม
14.55 น. : ลงนามในสัญญา และถ่ายภาพร่วมกัน โดย คุณวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ คุณวัชร วัชรพล รองประธานกรรมการ บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) คุณชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ และคุณเดชา ตุลานันท์ รองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
15.00 น. : ช่วงสัมภาษณ์บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)
15.30 น. : จบงาน
INFO: http://www.ryt9.com/s/prg/1561249
วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556
WHA เด้งกว่า 6% หลังผู้บริหารคาดการณ์รายได้ปีนี้โตประมาณ 30%
WHA เด้งกว่า 6% หลังผู้บริหารคาดการณ์รายได้ปีนี้โตประมาณ 30% ด้านกูรูแนะเก็งกำไร แนวต้าน 42.00 บาท
สัมภาษณ์พิเศษ ผ่าเนื้อแท้หุ้น"WHA"ก้าวขึ้นGROWTH STOCK
INFO: หนังสือพิมพ์ทันหุ้น , วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2555
สัมภาษณ์พิเศษ ผ่าเนื้อแท้หุ้น"WHA"ก้าวขึ้นGROWTH STOCK
INFO: หนังสือพิมพ์ทันหุ้น , วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2555
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)