------------------------------------------ ------------------------------------------------------------ trader: กันยายน 2013

วันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2556

สุวิจักขณ์ ศรีอาริย์ รวยด้วยจิตหยั่งรู้



อายุน้อยมีเงินร้อยล้าน ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อสำหรับคนเดินดิน เขาพร้อมไขรหัสรวย ด้วยแรงขับด้านบวก ปรับลดอคติเชิงลบ ตบท้ายด้วยความพอดี


อายุน้อยมีเงินร้อยล้าน ไม่ใช่เรื่องเหลือเชื่อสำหรับคนเดินดิน พิสูจน์ความจริงนี้กับ สุวิจักขณ์ ศรีอาริย์ นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ผู้พลิกชีวิตจากลูกกรรมกรสู่นักลงทุนมือพระกาฬ เขาพร้อมไขรหัสรวย ด้วยแรงขับด้านบวก ปรับลดอคติเชิงลบ ตบท้ายด้วยความพอดี

คนไม่มีสมบัติพัสถาน หรือตกที่นั่งทายาทรับมรดกพันล้าน อาจไม่กล้าแม้แต่จะ "ฝัน" ว่า "ฉันจะมีเงินล้านให้ได้" ในทางตรงกันข้าม คนที่ "กล้า" บอกกับตัวเองว่า "ฉันจะรวย" กลับเดินผ่าขวางหนามมุ่งสู่เส้นทางเศรษฐีได้

ขอเพียงแค่ใช้ "ทัศนคติเชิงบวก" และ "พลังขับเคลื่อน" เอาชนะ “ความคิดลบ” ก็สามารถฉุดให้คนมีฝันทั้งหลาย "ลุกขึ้น" มาจุดประกายความคิด พิชิตกำแพงความกลัว

ในแวดวงนักลงทุนและกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คงรู้จัก เกม-สุวิจักขณ์ ศรีอาริย์ เป็นอย่างดี อาจเพราะใบหน้าอันคมคายหล่อเหลา บุคลิกที่อ่อนน้อมถ่อมตน รวมทั้งกลวิธีสร้างฐานะตัวเอง เปลี่ยนจากศูนย์ขึ้นมาเป็นร้อยล้านในเวลาไม่กี่ปี ก็ทำให้เขาเป็นที่สนใจในวงสังคมได้ไม่น้อย

ปัจจุบันเขาดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการบริษัท แอสซิสเฮ้าส์ จำกัด ศูนย์รับสร้างบ้านมาตรฐานงานก่อสร้าง และวางแผนจะเป็นนักลงทุนด้านอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในอนาคตอันใกล้นี้

หลายคน (ธรรมดา) อยากรู้ว่าหากต้องการจะประสบความสำเร็จด้วยวัยเพียง 36 ปีอย่างเขา จะต้องทำอย่างไร

ล้มแล้วลุก ปลุกพลังความเชื่อ

เกม เผยว่าน้อยคนนักที่จะมีชีวิตโรยด้วยกลีบกุหลาบ ซึ่งเขาไม่ใช่คนกลุ่มนั้นอย่างแน่นอน ย้อนกลับไปสมัยยังเดินเตะฝุ่น หลังจากสำเร็จการศึกษาสาขาครุศาสตร์อุตสาหกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีปทุมวัน ก็ต้องเผชิญกับคำว่า ตกงาน เป็นของแถมใบปริญญา

นั่นเป็นเหตุผลให้เขาต้องใช้ "หน้าตา" หากิน ลองแวะเวียนเข้ามาอยู่ในวงการบันเทิงสักพักหนึ่ง ก็รู้ตัวเองว่า ไม่โอเคสักเท่าไร จึงอยากกลับไปพักใจที่บ้านเกิด นครสวรรค์ แล้วค้นพบว่าตนน่าจะเป็นพนักงานขายรถยนต์ได้ดี

ในขณะทำงานงกๆ ตัวเป็นเกลียว หัวเป็นน็อต แต่ในมือนั้นกลับมีหนังสือเปลี่ยนชีวิตอยู่เล่มหนึ่ง ชื่อ พ่อรวยสอนลูก ในสมองของเขาตอนนั้นคิดเพียงว่า "อยากเป็นผู้ประกอบการ ไม่ใช่ลูกจ้างแบบนี้"

เขามุ่งมั่นอ่านหนังสือ อ่านทุกอย่างทุกเรื่องที่อยากรู้ แล้วก็พยายามศึกษาความรู้จากแผนกต่างๆ นอกเหนือจากที่ตัวเองรับผิดชอบ มันค่อยๆ สั่งสมให้หนุ่มคนนี้มั่นใจว่ามีความรู้มากพอที่จะออกไปเป็นนายตัวเองได้แล้ว

และเขาก็ลงมือทำฝันนั้นให้เป็นจริง ธุรกิจแรกของชีวิตสุวิจักขณ์ ศรีอาริย์ ก็คือนักธุรกิจสิ่งพิมพ์ในชื่อ "รถและบ้าน" จำหน่ายทางภาคกลางตอนบน ด้วยความคิดที่ว่าน่าจะเป็นไปได้ ตามอำนาจความรู้ของตนที่มีอยู่แค่นั้น ทั้งเชื่อว่าธุรกิจบริการมีต้นทุนไม่สูง ใช้แค่ความสามารถ ขยัน และยอมเหนื่อยสักหน่อยเท่านั้นเอง

แต่แล้วเขาก็ต้อง "ล้ม" เป็นครั้งแรกเช่นกัน เมื่อเจอตอขนาดยักษ์ อย่างปัญหาเครดิตของลูกค้า ระยะเวลาชำระค่าสินค้ากลุ่มรถยนต์และบ้านใช้เวลานาน ทำให้ต้องยืดจ่ายค่าโฆษณาในหนังสือของเขา ส่งผลให้หมุนเงินไม่ทัน

ในเมื่อเกม ยังไม่โอเว่อร์ ทางตันยังไม่เปิดตาย... สุวิจักขณ์ จึงเลือกลงทุนในธุรกิจเดิม แต่เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมาย เล็งนักแต่งรถเป็นลูกค้าใหม่ ผลิตหนังสือ "รถแต่ง" โดยนำเสนอเทคนิคการแต่งรถ เป็นจุดขายที่แตกต่างจากหนังสือเล่มอื่นๆ กว่า 4-5 เล่มในตลาด

ครั้นพอเข้าถูกจุด รายได้มหาศาลก็ทยอยเข้ามาเรื่อยๆ พร้อมโอกาสใหม่ๆ ที่เดินมาเคาะประตู นักธุรกิจหนังสือคนนี้ปรารถนาจะลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เพื่อต่อยอดตัวเลขในบัญชีเงินฝากให้มากขึ้น เขาตัดสินใจซื้อที่ดินแห่งหนึ่งแล้วสร้างอาคารพาณิชย์ออกขายได้ในเวลาอันรวดเร็ว ครั้งนั้นได้กำไรถึง 4 แสนบาท ทำให้สุวิจักขณ์มีพลังที่จะเปลี่ยนชีวิตให้สูงขึ้นๆ อีก

พลังลบ ปะทะ แรงบวก

แต่แล้วจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญในชีวิตของเกมก็เกิดขึ้น เมื่อทุ่มเงินมากก็เจ็บมากเป็นธรรมดา บอกแล้วว่ากุหลาบไม่ได้มีจำนวนมากพอที่จะโรยได้เรื่อยๆ หรอกนะ ครั้งนั้นเจ้าหนี้ร้านวัสดุก่อสร้างตามทวงเงิน พนักงานก็เรียกร้องต้องการเงินเดือน เขาทำได้เพียงเขียนเช็คล่วงหน้าจ่ายเงินเดือนให้กับทุกคน สัญญาว่ามีเงินเมื่อไร เขาจะรีบนำไปเข้าธนาคารให้ทันที

เขาว่าช่วงนั้นเองที่ทำให้รู้จักกับพลังอำนาจ "หลุมดำแห่งชีวิต" จิตใจที่อ่อนหัดถูกเจ้ามารร้าย หรือพลังงานความรู้สึกลบเข้าครอบงำจิตใจ พอจิตมันติดลบ มันก็จะเริ่มดึงดูดสิ่งชั่วร้ายต่างๆเข้ามา

กู้ยืมจากญาติพี่น้องไม่ได้ ในขณะเดียวกันพ่อของเขา ซึ่งเกมเคยขอร้องให้พ่อลาออกจากงานรักษาความปลอดภัย (รปภ.) แล้วมาดูแลกิจการร้านเกมส์คอมพิวเตอร์แทน แต่เมื่อกิจการไปไม่รอดเพราะคู่แข่งตัดราคากัน พ่อก็เดินทางมาขออยู่กับเขา แล้วพ่อก็ตัดสินใจลาจากไป เพราะเห็นว่าลูกชายคนนี้ก็แย่ไม่แพ้กัน จึงไม่อยากเป็นภาระ แต่การจากกันครั้งนั้นไม่อาจทำให้เขากลับมาพบกันอีกได้ เพราะมันคือจากลาชั่วนิรันดร์

ความบอบช้ำของจิตผลักดันให้เขาเริ่มมองหา "ธรรมะ" และเริ่มศึกษาข้อมูลด้านจิตมากขึ้น เพื่อค้นหาความสำเร็จอีกครั้ง เขาตกผลึกได้ว่า แท้จริงแล้วคนเรามุ่งค้นหาความจริงกันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าทรงค้นพบความจริงทางจิตวิญญาณ ไอสไตล์ก็ค้นพบจริงทางวิทยาศาสตร์ ความจริงเหมือนกันแต่คนละทาง

เขาตระหนักดีแล้วว่า ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับชีวิตคนเรานั้น ถูกสั่งการจากสมองและจิตมากกว่า 60% ในขณะที่ร่ำเรียนกันมาทั้งชีวิตนั้นกลับมีอิทธิพลต่อเราเพียง 40% เท่านั้นเอง“เรามีความรู้มาก ทำให้เราถูกควบคุมด้วยสิ่งที่เรารู้มาหรือจากประสบการณ์ของคนอื่น จริงๆ แล้ว เมื่อก่อนผมชอบคำว่า การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเชื่อว่าความสำเร็จทางโลกต่างๆ ต้องอาศัยประโยคนี้เพื่อสร้างความสำเร็จ แต่เพราะคำๆ นี้เองที่ทำให้มนุษย์เราไม่สามารถเข้าถึงปัญญาขั้นที่สูงขึ้นได้ ถึงเวลาแล้วที่เราต้องเปลี่ยนจากการใช้ Know-how มาเป็นการคอนโทรลจิตของตัวเอง”

เกม เล่าต่อว่า อุปสรรคที่ซ้ำเติมชีวิต ล้วนเกิดขึ้นกับคนที่มีพลังงานลบ ติดกรอบความรู้และอำนาจเดิมของตัวเอง ไม่หลุดพ้นจากความคิดฝังใจ แพ้ใจตัวเอง และไม่ผ่านหัวใจตัวเอง จนชีวิตไม่ไปไหน หลายคนศึกษาและเรียนรู้มาอย่างดี มีข้อมูลความรู้เพียบ แต่พอลงมือทำ กลับไม่ประสบความสำเร็จ เพราะมัวแต่สนใจในตัวเงิน แต่ไม่สนใจพลังงานที่ขับเคลื่อนมัน

ดังนั้นเราต้องมาทำความเข้าใจเรื่องพลังงานหรือระบบของมันเสียก่อนว่า จิตของเราคือคือพลังงานที่มีค่า ลบ กลาง บวก หากเราสะสมพลังงานใด เราจะเอนเอียงและซึมซับพลังงานด้านนั้นโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวทีเดียว
พลังงานจะแทรกซึมเข้าสู่ทุกอย่าง แล้วกระทบกันไปเป็นทอดๆ จนกลับมาที่ตัวเราในที่สุด และคุณสมบัติของจิตที่มีพลังนั้นจะต้องถูกสั่งสมมาเป็นเวลานาน จนกลายเป็นสภาวะจิตหยั่งรู้

แต่หากเรายังไม่สามารถอยู่ในแนวทางบวก หรือกลางๆ ด้วยการฝึกจิตและสมาธิ อยู่กับลมหายใจหรือปล่อยวางได้ทั้งหมดจนเข้าใจทุกอย่าง เกิดเป็นสภาวธรรมแล้ว จิตของเราจะยังคงสลับพลังงานบวกและลบอยู่ตลอดเวลา ทำให้เราเหมือนจะก้าวไปข้างหน้าแล้วก็ต้องถอยกลับอยู่อย่างนี้ คล้ายกับการทิ้งสมอเรือชีวิตนั่นเอง

หลายคนบอกว่า สมอเรือนั้นเปรียบเหมือนกรรมเก่า สุวิจักขณ์ บอกว่า กรรมก็เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง แต่อย่าลืมว่ากรรมเก่าส่งผลแค่ในปัจจุบันเท่านั้น ในเมื่อจิตมันฝึกกันได้ เราก็สามารถกำหนดชีวิตต่อไปของเราได้ โดยไม่ให้กรรมเก่านั้นส่งผลต่อไปยังอนาคต

ดังนั้นเมื่อมั่นใจว่าจิตของเราสามารถกำหนดทิศทางและความเป็นไปในชีวิต ทั้งมันยังถูกฝึกให้เปลี่ยนแปลงได้ ก็ถึงเวลาต้องให้จิตสอนตัวมันเอง โดยการเพิ่มพลังงานบวกของตัวเอง อัพพลังตัวเองขึ้นมาให้ได้ และพยายามเสพพลังงานบวกอยู่เสมอ ถ้าอยากประสบความสำเร็จในชีวิต อย่าลงมาที่พลังงานลบเด็ดขาด

แล้วจะสร้างพลังงานบวกอย่างไร เป็นคำถามที่คนอยากรวยอยากรู้ สุวิจักขณ์บอกว่ามันง่ายดาย โดยอ้างอิงทางพุทธศาสนาจะแบ่งกลุ่มจิตไว้ 3 ประเภท ซึ่งฝ่ายดี (บวก) นั้น มีลักษณะของความเกรงกลัวต่อบาป ความละอายต่อบาป ความมีสติ ความมีศรัทธา ความมีเมตตา ความยินดี และอารมณ์ที่จะทำให้เกิดปัญญา โดยที่ไม่หลอกตัวเอง เพราะถ้าภายในจิตและสมองของเราไม่รู้สึกอย่างนั้น พลังงานบวกก็จะไม่เกิดจริง

“ที่เราต้องคงอารมณ์และพลังทางบวกไว้นั้น เพราะโดยปกติคนเราจะอยู่ที่บวกไม่ถึง 50%และจะคอยดิ่งไปที่ลบอยู่บ่อยๆ กว่า 80% บางคนอาจต้องกลับไปแก้ที่พลังงานลบที่ฝังอยู่ลึกๆ ก่อนด้วยการไม่ตอกย้ำ แต่ผมขอแนะนำให้ลองใช้ชีวิตที่แตกต่างไปจากเดิมเพื่อกระโดดออกมาจากหลุมดำนั้น พอขึ้นมาได้แล้วให้รีบเข้าสู่ภาวะที่เป็นกลาง แล้วถีบตัวเองขึ้นไปให้กลายเป็นบวก หากเราต้องการให้ชีวิตไปในทางใดให้คิดถึงเป้าหมายที่เราตั้งใจไว้บ่อยๆ ความสำเร็จก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม”

สร้างสมดุลจิต ค้นหาความจริง

เศรษฐีน้อยร้อยล้าน แนะนำต่อว่า สำหรับผู้ที่เริ่มต้นจะทำธุรกิจ ต้องตัดคำว่าไม่กล้า การยึดติดกับกรอบ หรือพลังลบให้ได้ก่อน แล้วเพิ่มพลังงานบวกเข้าไปให้เต็มสูบ จากนั้นให้ฉีกกรอบแล้วก้าวออกมาให้ได้ หากก้าวไม่ได้หรือพลังงานบวกยังมีไม่พอ อาจเลือกอ่านหนังสือ ดูหนังแนวฮีโร่ หรือเข้าฟังสัมมนา ก็จะทำให้พลังงานบวกพุ่งปรี๊ดได้เลย เกมเผยต่ออีกว่า กุญแจความสำเร็จนั้น อยู่ที่ลงมือกระทำเดี๋ยวนี้ และมีความมานะพยายาม ไม่ย่อท้อ

ส่วนคนที่เคยมีประสบการณ์ “เจ็บแล้วจำ” มาก่อน เขาบอกว่าให้เก็บความกล้าบ้าบิ่นไว้ แต่ต้องกลับมาศึกษาข้อมูลทางธุรกิจให้ถ่องแท้เสียก่อน ซึ่งคำเตือนนี้ก็มาจากเรื่องราว “ล้มแล้วลุก” ของเขาเอง ที่เคยให้ความสำคัญผิดจุด จนกระทั่งรู้ว่าธุรกิจต้องพึ่งพาการตลาดและถามผู้บริโภค เพื่อให้รู้ความจริงของตลาด ไม่ใช่การคาดเดา หรือยึดติดกับ “ถ้วยรางวัล” เดิม

แม้หนทางที่สุวิจักขณ์บอก อาจเป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ที่พิสูจน์ได้ มีทฤษฎีและสถิติมาประกอบ แต่มันก็ผสมคละเคล้ากันกับหลักทางธรรมอย่างแยกไม่ออก เกมเฉลยว่าที่เราพูดคุยกันนั้นมันคือ “ธรรมชาติของความจริง”

แนวทางที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตของหนุ่มวัย 36 ปีคนนี้ คืออยู่กับความจริง ยึดความจริง นับถือความจริง อยู่กับปัจจุบัน การรู้ตัว เมื่อความรู้สึกอยู่ที่ไหนก็ให้กลับไปอยู่ที่จิต หากเมื่อไรเกิดพลังงานลบก็ต้องหยุดหรือทิ้งมันไปให้ได้ และฝึกจิตให้ละวาง อยู่กลางๆ ไว้

จากนั้นก็เลือกว่าจะเดินทางสายไหน ระหว่างสายกลาง หรือสายสุข ซึ่งตอนนี้เกมบอกว่า เขายังสนุกกับทางโลก จึงขอเดินตามทางแห่งความสำเร็จทางการเงินก่อน ก็จะต้องกระตุ้นตัวเองให้เกิดพลังงานบวกบ่อยๆ แต่ในอนาคตนั้น เขาวางแผนว่าทางสายกลางอย่างแท้จริงนั้น คือปลายทางชีวิตของสุวิจักขณ์ ศรีอาริย์

 

INFO: Bangkokbiznews.com

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

รูดปื๊ดรถคันแรก ทำคนเป็นหนี้พุ่ง แนะถือเงินรอลงทุนของถูก


ประธานชมรมคนออมเงิน เผย ยอดคนเป็นหนี้พุ่ง หลังแห่รูดปื้ด-ซื้อรถคันแรก แนะถือเงินสด รอลงทุนช็อปของถูก

นายสุวรรณ วลัยเสถียร ประธานชมรมคนออมเงิน และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยกับสำนักข่าวไอ.เอ็น.เอ็น. ว่า จำนวนประชาชนที่มีหนี้สิน มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น อันเนื่องมาจากภาระการซื้อรถยนต์ ในโครงการรถยนต์คันแรก รวมถึงการนำเงินในอนาคตจากบัตรเครดิตมาใช้จ่าย ทำให้มีภาระหนี้สินเพิ่มมากขึ้น ทั้งนี้ อยากให้ประชาชนควบคุมค่าใช้จ่ายเพื่อให้มีเงินออม ซึ่งส่วนตัวมีหลักการใช้จ่าย คือ จะซื้อของที่มีความจำเป็นเท่านั้น ส่วนสิ่งของที่ไม่จำเป็น ก็จะหลีกเลี่ยง

ทั้งนี้ นายสุวรรณ ยังได้กล่าวถึงสินทรัพย์ที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับเงินในกระเป๋า ด้วยว่า ตอนนี้อยากให้นักลงทุนหรือประชาชนถือเงินสดมากกว่าที่จะนำเงินมาลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ เพราะอนาคตเชื่อว่า จะมีสินทรัพย์ราคาถูกออกมาขายเป็นจำนวนมาก และถึงเมื่อนั้นก็ค่อยนำเงินมาลงทุน


INFO: http://news.mthai.com/general-news/268594.html

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556

เศรษฐกิจยูโรโซนหลุดพ้นจากภาวะถดถอยครั้งแรกในรอบ 18 เดือน


       เอเอฟพี - ข้อมูลใหม่ที่เผยแพร่ออกมาในวันพุธ(4) ยืนยันว่าเศรษฐกิจยูโรโซรในช่วงไตรมาส 2 หลุดพ้นจากภาวะถดถอยที่เรื้อรังมานาน 18 เดือน แต่แนวโน้มยังยากลำบากอยู่และยังคงล้าหลังเศรษฐกิจโลกอยู่มาก
      
       เหล่านักวิเคราะห์แสดงควายินดีต่อตัวเลขดังกล่าว แต่ก็ยังไม่วายระมัดระวังอยู่ เพราะวิกฤตหนี้ยังคงบั่นทอนเศรษฐกิจและอัตราการว่างงานยังอยู่ในระดับสูง "ยูโรโซน มีท่าทางอยู่บนเส้นทางของการเติบโตขึ้นปานกลางในช่วงไตรมาส 3 แต่ดูเหมือนว่าการฟื้นตัวจะเป็นกระบวนการที่ค่อยเป็นค่อยไปและยังคงอ่อนไหวสำหรับเรื่องช็อคใดๆ" โฮเวิร์ด อาร์เชอร์ จากไอเอชเอส โกลบอล อินไซต์ กล่าว
      
       สำนักงานสถิติยูโรสแตท ระบุในการประเมินครั้งที่ 2 ว่าเศรษฐกิจของ 17 ชาติยูโรโซน ซึ่งมีประชากรรวมกันราวๆ 340 ล้านคน ในช่วงเดือนเมษายนถึงมิถุนายน เติบโตขึ้นร้อยละ 0.3 หลังจากช่วงไตรมาสแรกหดตัวร้อยละ 0.2
      
       แต่หากนับรวมทั้ง 27 ชาติสมาชิกสหภาพยุโรป(อียู) จะพบว่าเศรษฐกิจของกลุ่มนี้มีการขยายตัวช่วงไตรมาส 2 ร้อยละ 0.4 ในช่วงไตรมาส 2 ดีกว่าที่ประมาณการณ์ไว้เบื้องต้นร้อยละ 0.3 หลังจากช่วงเดือนมกราคมถึงมีนาคม หดตัวที่ร้อยละ 0.1 กระนั้นก็ดีเมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ของปี 2012 เศรษฐกิจของยูโรโซนยังหดตัวลงร้อยละ 0.5 ส่วนอียูทางตัว


       ทั้งนี้เมื่อเทียบกับสหรัฐฯแล้ว ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ เศรษฐกิจอเมริกามีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วง 3 เดือนแรกร้อยละ 0.6 และเติบโตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้านี้อยู่ร้อยละ 1.6
      
       ขณะเดียวกันผลสำรวจทางธุรกิจที่ถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดเผยให้เห็นว่าภาคบริการอันสำคัญของยูโรโซนกลับคืนสู่การเติบโตแล้วในเดือนสิงหาคม และกิจกรรมทางธุรกิจโดยรวมก็แตะระดับสูงสุดในรอบ 26 เดือน
      
       ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อรวมภาคบริการและภาคการผลิตของยูโรโซนที่สำรวจโดยมาร์กิต อีโคโนมิคส์ พบว่ามีการขยายตัวจาก 50.5 จุดของเดือนกรกฎาคม สู่ร้อยละ 51.5 จุดในเดือนสิงหาคม แต่ก็น้อยกว่าที่คาดหมายไว้เบื้องต้นว่าจะเติบโต 51.7 จุด
      
       อย่างไรก็ตามในข้อมูลก็เป็นที่น่าสังเกตว่าการเติบโตทางเศรษฐกิจของเยอรมนี ชาติเศรษฐกิจหมายเลข 1 ของยุโรป ไม่เพียงพอที่จะหยุดยั้งระดับการจ้างงานที่ลดลงเรื่อยๆ และยิ่งไปกว่านั้น ฝรั่งเศส ชาติเศรษฐกิจหมายเลข 2 ระดับการจ้างงานในเดือนกรกฎาคมก็ลดลงอย่างฮวบฮาบ
      
       "ดูเหมือนการฟื้นต้วของยูโรโซนกำลังขยายวงกว้างขึ้นเรื่อยๆ ด้วยหลายภาคส่วนและหลายประเทศค่อยๆโผล่จากภาวะถดถอย" คริส วิลเลียมสัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของมาร์กิตกล่าว ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์อีกคนเสริมว่า "ยูโรโซนเริ่มมีความหวังว่าความเชื่อมี่นที่เพิ่มขึ้นจะช่วยส่งเสริมภาคธุรกิจในการจ้างงานและวางแผนการลงทุน และสนับสนุนให้ผู้บริโภคใช้จ่ายเพิ่มขึ้นด้วย อย่างไรก็ตามหากพิจารณาดูองค์ประกอบต่างๆ ดูเหมือนว่าทิศทางในแง่บวกจะยังคงอยู่ในวงจำกัด"


INFO: http://manager.co.th/Around/ViewNews.aspx?NewsID=9560000111441