------------------------------------------ ------------------------------------------------------------ trader: สิงหาคม 2012

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

BWG เล่นสั้น รอแนวปะทะ 23/08/2012


รับ 1.64
ต้าน 1.70

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

SET วิ่งๆ อย่างนี้ก็มีขายบ้างอะไรบ้าง

SET 1,232.29 (+3.29) - 21 ส.ค. 2555 17:01:45

แนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปี 2555-2556
ธปท. คาดว่าในปี 2555 เศรษฐกิจไทยจะมีการขยายตัวร้อยละ 6 ตามการฟื้นตัวของภาคการผลิตและแรงขับเคลื่อนอุปสงค์ในประเทศ ทั้งจากการบริโภคและการลงทุนภาคเอกชน โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก pent-up demand ที่ยังมีอยู่ การซื้อสินค้าทดแทนและการซ่อมแซมทรัพย์สินที่เสียหายจากน้ำท่วม รายได้ที่มีแนวโน้มอยู่ในเกณฑ์ดี ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ประกอบการที่ปรับตัวดีขึ้น มาตรการภาครัฐและสถาบันการเงินที่กระตุ้นอุปสงค์ในประเทศ และภาวะการเงินที่ผ่อนคลาย
สำหรับในปี 2556 คาดว่าจะยังคงขยายตัวต่อเนื่องที่ร้อยละ 5.8 โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากภาคการส่งออกที่มีแนวโน้มจะกลับมาขยายตัวได้มากขึ้น กอปรกับการใช้จ่ายของภาครัฐทั้งจากงบประมาณและโครงการบริหารจัดการน้ำจำนวน 3.5 แสนล้านบาท จะสนับสนุนให้เศรษฐกิจมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง

บริษัทจดทะเบียนเข้าใหม่ 


บล.ภัทรชี้เป้าดัชนีปีนี้ 1,350 จุด มองบริโภคในปท.-ลงทุนภาครัฐหนุน

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2555 เวลา 16:00:56 น.


นายเอียน กิสบอร์น กรรมการผู้จักการ หัวหน้าฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) หรือ PHATRA เปิดเผยว่า บริษัทคาดดัชนีตลาดหุ้นไทยปีนี้อยู่ที่ระดับ 1,350 จุด โดยมองปัญหาเศรษฐกิจของยุโรปและสหรัฐ ส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย จึงปรับลดอัตราการเติบโตเศรษฐกิจปีนี้เหลือโต 5.3% แต่มองการบริโภคภายในประเทศและการลงทุนของภาครัฐ ยังเป็นปัจจัยสนับสนุน

นายกิสบอร์น กล่าวอีกว่า ตลาดหุ้นมีปัจจัยบวกจากการบริโภคในประเทศที่มากขึ้นโดยเฉพาะในต่างจังหวัด รวมถึงการลงทุนสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของภาครัฐ และการรวมตัวของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน(AEC) โดยหุ้นกลุ่มที่น่าสนใจลงทุน ได้แก่กลุ่มแบงก์, พลังงาน,อสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มวัสดุก่อสร้าง

ด้านนายศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวิจัย บล.ภัทร กล่าวว่า มองภาพรวมเศรษฐกิจไทย ภาคการส่งออกจะได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจในยุโรปและสหรัฐจึงปรับลดเป้าหมายการส่งออกของไทยในปีนี้เติบโตลดลงจาก 10% เหลือเติบโตเพียง 3% ขณะที่อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยปีนี้ ได้ปรับลดคาดการณ์ลงเหลือโต5.3% จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะโต 5.7%

สาเหตุที่ยังมองว่าเศรษฐกิจไทยยังโตได้ มาจากการบริโภคภายในประเทศและการลงทุน ทั้งของภาครัฐและเอกชน ซึ่งปีนี้ยังลงทุนไม่มาก ซึ่งคาดว่าปีหน้าจะลงทุนมากขึ้น โดยคาดว่าจะลงทุนกว่า 7.5 แสนล้านบาท ในโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงระบบการบริหารจัดการน้ำ ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยยังคงเติบโตต่อไปได้ในปีหน้า   
INFO: ข่าวหุ้น-ธุรกิจ

SVI จับตาดูหน่อย

SVI : บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน)
วันนี้ 21/08/2012 ราคาอยู่ที่ 3.82 (+0.06)
 แนวโน้มไปต่ออีกหน่อย
 
ข่าวสำคัญ

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม 2555 เวลา 10:42:13 น. 
สะสม SVI หลังผ่านจุดต่ำสุดแล้วใน 1H55 – แนวโน้มปี 56 มีลูกค้าเพิ่มดันรายได้โต
ผู้สื่อข่าวรายงานราคาหุ้น บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI ณ เวลา 10.37 น. บวก 0.06 บาท หรือ 1.62% มาที่ 3.76 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 29.56 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยโดยรวมบวก 0.14% ทั้งนี้ ราคาหุ้น SVI ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากระดับราคา 3.52 บาท ในวันที่ 10 ส.ค. มาแตะที่ระดับราคา 3.76 บาท ในวันนี้ ทั้งนี้ จากข้อมูล www.settrade.com ระบุว่า โบรกเกอร์ทั้ง 2 แห่ง แนะ “ซื้อ” 4 แห่ง แนะ “ถือ” โดยให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ยที่ 3.75 บาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนะนำ “ทยอยสะสม” หุ้น SVI โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 4.80 บาท เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการของ SVI ได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้วในครึ่งแรกปี 55 และจะเห็นพัฒนาการเชิงบวกที่ชัดเจนในครึ่งหลังปี 55 หลังคำสั่งซื้อของลูกค้าเริ่มกลับเข้าสู่ระดับปกติใกล้เคียงกับระดับก่อน เกิดน้ำท่วมแล้ว โดยปัจจุบันมีกำลังการผลิตที่ 80%
ขณะที่มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มธุรกิจในปี 56 เนื่องจากจะได้ลูกค้าใหม่เพิ่มเติมอีกไม่ต่ำกว่า 6 ราย และผลักดันให้รายได้เติบโต 19% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 9,963 ล้านบาท ดังนั้น คาดว่าอัตราใช้กำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นจาก 80% ในปี 55 เป็นเกือบ 100% ในปี 56 จะส่งผลให้ Operating Profit Margin ในปีหน้า เพิ่มขึ้นเป็น 8.2% จากปี 55 ที่ 6.5% และใกล้เคียงกับปี 54 ก่อนเกิดวิกฤติน้ำท่วมที่ 8.7%
ดังนั้น คาดว่ากำไรปกติปี 56 จะขยายตัว 50.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 776 ล้านบาท จากปี 55 ที่ 517 ล้านบาท และเป็นฐานกำไรระดับสูงสุดใหม่ เทียบกับระดับสูงสุดก่อนหน้าที่ 735 ล้าบาทในปี 53 ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อเนื่องให้กับราคาหุ้นในช่วง 12 เดือนข้างหน้า นอกจากนี้ SVI ยังเป็นหุ้นที่ให้เงินปันผลในเกณฑ์ดี โดยคาดว่าจะจ่ายเงินปันผลปี 55 –56 หุ้นละ 0.13 บาท และ 0.20 ตามลำดับ คิดเป็นผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยต่อปีประมาณ 4.5%
โดยยังมีความเสี่ยงจำกัดต่อปัญหาหนี้สินในยุโรป เนื่องจากสัดส่วนยอดขายให้กับประเทศในกลุ่ม EU ไม่ถึง 5% ของรายได้รวม และรายได้หลักกว่า 70% เป็นสินค้าอุตสาหกรรมที่มีความเฉพาะ และมีคุณภาพสูง โดย SVI จะไม่ทำสินค้าที่เป็น Consumer product ที่มีวงจรชีวิตสั้น และผันผวนตามเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงเร็ว ทำให้ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจโลกจำกัด
INFO: ข่าวหุ้น-ธุรกิจ


วันพฤหัสบดีที่ 02 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา 09:33:47 น.
บล.เอเซีย พลัสแนะนำ ซื้อ SVI มองถึงเวลากลับมาของหุ้น SVI อีกครั้ง คาดกลับมาผลิตเต็มกำลังในไตรมาส 3/55 แต่ไตรมาส 4/54 จะขาดทุนหนัก โดยระบุในบทวิเคราะห์ ดังนี้

คาด 4Q54 ขาดทุนหนักจากความเสียหายน้ำท่วม
ฝ่ายวิจัยคาดผลการดำเนินงานของ SVI ในงวด 4Q54 จะขาดทุนสุทธิกว่า 2 พันล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากโรงงาน SVI ในนิคมฯ บางกระดี่ ได้รับความเสียหายจากวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนต.ค.54 ส่งผลให้บริษัทฯ จำเป็นต้องบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษจากความเสียหายของโรงงาน และเครื่องจักรสูงถึง 2 พันล้านบาท เช่นเดียวกันสถานการณ์ดังกล่าวยังทำให้ SVI ไม่สามารถผลิตสินค้าได้ตามคำสั่ง
ซื้อของลูกค้า โดยคาดว่ายอดขายรวมในงวด 4Q54 จะลดลงเหลือเพียง 30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 926 ล้านบาท) หดตัวถึง 65% qoq ขณะที่ Gross margin โดยรวมในงวด 4Q54 คาดจะปรับตัวลดลงสู่ระดับ 9.3% จาก 10.5% ในงวด 3Q54 เนื่องจากบริษัทฯ ไม่สามารถดำเนินการผลิตเชิงพาณิชย์ได้เต็มที่ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วย ปรับตัวสูงขึ้น โดยรวมแล้ว ทำให้คาดการณ์กำไรปกติจากการดำเนินงานในงวด 4Q54 เท่ากับ 29 ล้านบาท ซึ่งไม่สามารถหักล้างกับรายการขาดทุนพิเศษดังกล่าวได้ทำให้คาดการณ์ผลการ ดำเนินงานของ SVI ในปี 2554 จะพลิกเป็นขาดทุนสุทธิ 1.28 พันล้านบาทจากที่มีกำไรสุทธิ 735 ล้านบาทในปี 2553
พลิกสถานการณ์เร็วจนกลับมาผลิตเต็มที่แล้ว...เงินประกันทยอยเข้า
ฝ่ายวิจัยไม่ได้กังวลเกี่ยวกับประเด็นเรื่องค่าใช้จ่ายพิเศษที่สูงถึง 2 พันล้านบาทที่เกิดขึ้นในงวด 4Q54 เนื่องจาก SVI จะทยอยได้รับเงินประกันชดเชยครอบคลุมทั้งจำนวนกลับมาในปี 2555 ซึ่งฝ่ายวิจัยอาจมีการปรับเพิ่มประมาณการอีกครั้ง หากทราบจำนวนเงินประกัน และช่วงเวลาได้รับที่แน่นอน สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานรายไตรมาสของ SVI ในปี 2555 (ไม่รวมรายการเงินประกันชดเชย) คาดว่าจะเป็นไปในทิศทางขาขึ้นตั้งแต่งวด 1Q55 ต่อเนื่องไปจนถึงงวด 3Q55 โดยอัตรากำลังการผลิตของโรงงาน SVI ในปัจจุบันสูงถึง 70% ของกำลังการผลิตก่อนช่วงเกิดวิกฤติน้ำท่วมแล้ว ส่งผลให้คาดการณ์ยอดขายรวมในงวด 1Q55 เท่ากับ 60 ล้านเหรียญฯ หรือเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัวจากงวดก่อนหน้า
ทั้งนี้ ฝ่ายวิจัยคาดว่าบริษัทฯ จะสามารถกลับมาดำเนินการผลิตเต็มที่อีกครั้งในงวด 3Q55 ซึ่งทันกับช่วงฤดูกาลส่งออกของอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ ส่งผลให้มียอดคำสั่งซื้อเข้ามาเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยยังมีมุมมองเชิงบวกต่อกำลังการผลิตของ SVI ภายหลังจากผ่านพ้นวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่ไปแล้ว ซึ่งจะเห็นได้จากการเพิ่มฐานการผลิตไปสู่โรงงาน SVI ที่แจ้งวัฒนะ (จากเดิมที่บริษัทฯ มีแผนที่จะขายโรงงานทิ้ง) ส่งผลให้ SVI มีโรงงานเพิ่มเป็น 2 แห่ง (เดิม 1 แห่ง) ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ สามารถเพิ่มกำลังการผลิตมากขึ้นกว่าเดิมถึง 50% ซึ่งยังไม่ได้รวมไว้ในประมาณการ และถือเป็น Upside ของผลการดำเนินงานในอนาคต
ถึงเวลากลับมาของหุ้น SVI อีกครั้ง...Top pick ของกลุ่มชิ้นส่วนฯ
ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ ซื้อ โดยกำหนดให้มูลค่าพื้นฐานปี 2555 อิงวิธี DCF (WACC 8.99%) เท่ากับ3.84 บาท แม้อาจจะยังมีแรงกดดันของราคาหุ้นในระยะสั้นจากการรายงานผลการดำเนินงานรอบ ปี 2554 ที่เป็นขาดทุนระดับสูง จนถึงขั้นงดจ่ายเงินปันผลสำหรับทั้งปี 2554 แต่ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าได้สะท้อนไปในราคาหุ้นค่อนข้างมากแล้ว จึงถือเป็นโอกาสที่ให้เข้าสะสมหุ้นเพื่อรับการดีดตัวของผลการดำเนินงานใน 1Q55 นอกจากนี้ ฝ่ายวิจัยคาดว่า SVI จะยังไม่สามารถจ่ายเงินปันผลสำหรับปี 2554 ได้ แต่เชื่อว่าไม่น่ากังวลมากนัก เนื่องจากบริษัทฯ จะได้รับเงินชดเชยประกันกลับมาภายในปี 2555 และคาดว่าบริษัทฯจะประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในปี 2555 ในภายหลังจากนี้
INFO: ข่าวหุ้น-ธุรกิจ




JAS - เส้นเริ่มห่าง เดี๋ยวมีย่อให้เห็น

ลองของใหม่หน่อย Aspen

JAS - บริษัทจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน)
พยายามไต่ขึ้นที่สูง ขึ้นสูงก็เหนื่อยหน่อย ต้องพักกันบ้าง.

QH - ลอยเหนือน้ำไปเรื่อยๆ ย่อก่อนค่อยว่ากัน

QH - บริษัท ควอลิตี้เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)
ไม่รีบ ได้แต่เล็ง.

TMB ไต่ไปเรื่อยๆ

TMB ธนาคารทหารไทย รอรอบ เล่นเป็นพักๆ ราคายังวิ่งทรงๆ

สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
 
เมื่อคนมีอายุมากขึ้น  อาจจะตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป  พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะ  มองไปข้างหลัง  นั่นคือ  แทนที่จะ  มองไปข้างหน้า  คิดถึงอนาคตที่  สดใส  ที่จะเกิดขึ้น  หรืออนาคตที่เขาจะสร้างมันให้กับตัวเอง  คิดถึงความร่ำรวยและชื่อเสียง  คิดถึงชีวิตครอบครัวและลูกที่เขาจะมีหรือลูกที่จะเติบโตขึ้น  คนอายุมากกลับนึกถึง  วันเก่า ๆ  ที่พวกเขาผ่านมา  คิดถึง  ความสุข  ที่พวกเขาได้เคยสัมผัส  คิดถึงเรื่องราวความประทับใจต่าง ๆ  ที่ได้ประสบมา  พวกเขามักจะรู้สึกว่า  สิ่งเก่า ๆ  เหล่านั้น   เป็นสิ่งที่ดีงาม  เป็นสิ่งที่ถูกต้อง  และที่สำคัญที่สุดก็คือ  มันให้ความสุขทางด้านจิตใจมากกว่าสิ่งใหม่ ๆ  แม้ว่ามันจะไม่มีความสะดวกสบายเทียบเท่า  ดังนั้น  คนที่มีอายุมากจำนวนมากจึงมักจะพยายาม  ปฏิเสธ  แนวความคิดและวิถีชีวิตแบบคนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นที่เป็นหนุ่มสาว   อาการแบบนี้  เกิดขึ้นได้แม้แต่กับคนที่เคยมีความคิดก้าวหน้ามากที่สุดและประสบความสำเร็จสูงมากในยามที่เขายังเป็นคนหนุ่มสาว   พูดอีกแบบหนึ่งก็คือ  พวกเขาติดยึดกับ  อดีตที่รุ่งเรือง  และไม่สามารถที่จะปรับตัวเข้ากับปัจจุบันและอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไปมากได้  ดังนั้น  พวกเขากลายเป็นคนที่ ล้าสมัย  เป็น  สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์  อย่างที่  เสกสรรค์ ประเสริฐกุล  อดีตผู้นำนักศึกษาสมัย 14 ตุลา 16 เคยพูดไว้ถึงสถานะของตัวเองเมื่อออกจากป่าเข้ามอบตัวกับรัฐบาลในช่วงราวปี 2522
          ที่จริงในช่วงที่อาจารย์ เสกสรรค์ พูดนั้น  เขายังหนุ่มมาก  แต่ดูเหมือนเขาจะยอมรับว่าแนวความคิดและความเชื่อทางการเมืองที่มีมาแต่เดิมนั้น  ใช้ ไม่ได้อีกต่อไปเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในขณะนั้นที่จีนกับโชเวีย ตรัสเซียเกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงส่งผลให้แนวทางการต่อสู้ของนักศึกษา ที่เข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลไทยผิดทางไปหมดและ ใช้ไม่ได้อีกต่อไป    ดังนั้น  พวกเขาจึงออกจากป่าเพื่อหาหนทางใหม่  บางคนก็กลายเป็นสิ่งชำรุดที่  ไม่สามารถแก้ไขได้ ตลอดกาล
          ผมเกริ่นเรื่องที่เป็นแนวความคิดทางการเมืองก็อาจจะเป็นเพราะการติดยึดกับอดีตและจำคำประทับใจที่ได้ฟังในช่วงวัยหนุ่มได้  นี่ก็เป็นอาการของคนสูงอายุอย่างที่พูด  อย่างไรก็ตาม  ผมเองก็ตระหนักอยู่เสมอว่า  ความ  ล้าสมัย  ของผมนั้น  พร้อมที่จะเกิดได้ตลอดเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะปัจจุบันที่ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วจนไม่น่าเชื่อ  สิ่งที่ผมจำได้เมื่อยังเป็นเด็กหรือคนหนุ่มนั้น  เดี๋ยวนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้วและเราจะต้องยอมรับมัน  เราไม่สามารถฝืนกระแสได้  เราจะต้องยอมรับว่าสิ่งที่คนแก่หรือคนมีอายุทำนั้น  มันมักจะกำลังกลายเป็นอดีตไม่ช้าก็เร็ว  สิ่งใดที่คนหนุ่มสาวหรือเด็กคิดและทำที่มันแตกต่างจากคนสูงวัย  มันก็จะกลายเป็นอนาคต  ดังนั้น  ถ้าเราจะพูดถึง กระแส  หรือแนวโน้มหรือทิศทาง  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร  ทางหนึ่งก็คือ  การดูว่าคนหนุ่มสาวหรือเด็กคิดหรือทำอย่างไร
          ลองมาดูว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่างที่ผมยังเป็นหนุ่ม  กับปัจจุบันที่คนหนุ่มสาวกำลังทำ  ก็จะเห็นการเคลื่อนไหวหรือการเปลี่ยนแปลงที่กำลังดำเนินไป  เริ่มกันตั้งแต่ทางด้านสังคมซึ่งสิ่งที่ผมเห็นว่าเปลี่ยนแปลงชัดเจนมากที่สุดก็คือเรื่องของความเสมอภาคระหว่างหญิงกับชาย  ดังนั้น  เรื่องของการ  รักนวลสงวนตัว  ซึ่งในสมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่นนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก  เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย  เดี๋ยวนี้เราแทบไม่พูดกันแล้ว  เช่นเดียวกับการที่ผู้ชายเป็น  ช้างเท้าหน้า  เป็นผู้นำครอบครัว  เดี๋ยวนี้ก็ลดดีกรีลงไปมาก   เรื่องที่สองคือเรื่องของการเมืองที่ผมเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้ามาเป็นเวลานาน   แต่ในระยะหลัง ๆ  นี้  อาจจะประมาณซักสิบปีที่ผ่านมา  ตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าทิศทางคงจะเปลี่ยนไปเป็นระบบเสรีประชาธิปไตยหรือประชาธิปไตยแบบทุนนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ  เหตุผลของผมก็คือ  คนสูงอายุนั้น  ยังค่อนข้างยึดหลักจารีตนิยมอยู่มาก  แต่คนหนุ่มสาวในวันนี้ดูเหมือนว่าจะมีแนวความคิด เสรี  มากขึ้นเรื่อย ๆ  พวกเขาไม่สนใจหรือไม่ได้ยึดแนวความคิดเรื่องความ  อาวุโส  หรือนิยมชมชอบในเรื่องของ  ชาติกำเนิด หรือ  ตำแหน่งทางสังคม มากเหมือนในสมัยก่อน  พวกเขาสนใจเรื่องว่าใครมีเงินหรือมีความสามารถส่วนตัวมากกว่ากัน  ว่าที่จริงเงินนั้นกลายเป็นเครื่องวัดความเป็น  ไฮโซในปัจจุบันไปแล้ว  ซึ่งนี่ก็คือแนวทางของสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่นั่นเอง
          ในด้านของเศรษฐกิจนั้น  คนไทยไม่ได้พึ่งพิงภาคเกษตรกรรมอย่างที่ผมเห็นในสมัยที่เป็นหนุ่ม  คนหนุ่มสาวสมัยนี้อยู่ตามโรงงานและสถานที่ให้บริการต่าง ๆ   มีแต่คนแก่เป็นส่วนใหญ่ที่ยังอยู่ทำไร่ทำนาในชนบท  ดังนั้น  นับวันก็คือ  ประเทศไทยจะเป็นประเทศอุตสาหกรรมและบริการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  คำพูดที่ว่าชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ  และปีนี้เศรษฐกิจดีเพราะข้าวหรือพืชผลการเกษตรดีนั้น  จะมีความเป็นจริงน้อยลงไปเรื่อย ๆ 
          ประเด็นสุดท้ายที่สำคัญที่ผมจะพูดถึงก็คือ  ธุรกิจหรือบริษัทหรือหุ้นที่เราจะลงทุน  เพราะนี่เป็นเรื่องสำคัญที่จะชี้ว่าเราจะประสบความสำเร็จในการลงทุนแค่ไหน?  สิ่งที่เราจะต้องวิเคราะห์และพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก็คือ  บริษัทของเรานั้นเป็นบริษัทแห่งอนาคตหรือมีอนาคตที่สดใส   หรือเป็นบริษัทที่กำลังจะกลายเป็น  สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์  นั่นก็คือ  เราต้องพิจารณาดูว่าบริษัททำธุรกิจอะไร  ขายสินค้าหรือให้บริการอะไร  สินค้าหรือบริการเหล่านั้นมีโอกาสที่จะ  ล้าสมัย  และล้มหายตายจากไปจากตลาดหรือไม่   นอกจากนั้น  เราก็จะต้องดูด้วยว่าผู้บริหารของบริษัทที่เราลงทุนนั้น  เป็นคนที่อาจจะกลายเป็น สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์   หรือไม่?  นั่นก็คือ  ผู้บริหารอาจจะไม่ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่เป็นภัยคุกคามหรือตระหนักแต่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้  การที่ผู้บริหารมีอายุมากเกินไปก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เราจะต้องคำนึงถึง  จริงอยู่  คนแก่บางคนก็ยังมีความคิดที่ทันสมัยแต่นี่อาจจะเป็นข้อยกเว้นที่เราจะต้องดูให้ดี
          ในอดีตที่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกนี้มักจะเป็นไปอย่างช้า ๆ  ทำให้ความเสี่ยงเนื่องจากการล้าสมัยมีไม่มาก  ดังนั้น  ปัจจัยนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่หรือสำคัญนัก  แต่ในยุคปัจจุบันผมคิดว่านี่คือความเสี่ยงจริง ๆ  ที่ลืมคิดไม่ได้   ลองนึกดูสินค้าที่ล้าสมัยอย่างรวดเร็วจนบริษัทตั้งตัวไม่ทันดูก็จะพบว่ามีมากมาย   ตัวอย่างเช่น  กล้องถ่ายรูปรุ่นที่ต้องใช้ฟิล์มที่ถูกทำให้ล้าสมัยภายในไม่กี่ปีหลังจากที่มันอยู่มาเป็นร้อยปี   ดูเรื่องการบินที่สายการบินโลว์คอสท์ดูเหมือนจะมาแย่งชิงการนำจากสายการบินแบบเดิม  และแม้กระทั่งช่วงเร็ว ๆ นี้ที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล PC ที่โดนโน้ตบุคแย่งตลาดและทำให้ล้าสมัย  และก็เพียงไม่นานต่อมาในช่วงนี้ก็ดูเหมือนว่า  แท็บเล็ต  ก็กำลังจะเข้ามาทำให้โน้ตบุคอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก   นี่ยังไม่ต้องพูดถึง สมาร์ทโฟน ที่อาจจะกำลังเข้ามาทำให้อะไรก็ตามที่ อยู่กับที่กลายเป็นสิ่งล้าสมัย  ถ้าจะพูดไปก็คงต้องใช้หน้ากระดาษอีกมาก  แต่ข้อสรุปก็เหมือนกันนั่นคือ  ความ  ล้าสมัย  นั้น  มีโอกาสเกิดขึ้นกับธุรกิจต่าง ๆ  ได้มากมายแม้แต่บริษัทที่โดดเด่นมาก ๆ
          ผมคงไม่ต้องพูดว่า  ชีวิตของเราคือทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุด  ดังนั้น  เราจะต้องรักษามันไว้ให้มีความ  ทันสมัย  อยู่เสมอ   ไม่ใช่ว่าเราต้องทำตัวให้ทันสมัย  จิตใจและความคิดต่างหากที่เราจะต้องตระหนักรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในโลกโดยเฉพาะที่อยู่รอบตัวเรา   นักลงทุนนั้น  ชีวิตจะรุ่งเรืองหรือตกต่ำปัจจัยสำคัญอยู่ที่การรู้จักเลือก  ทั้งเลือกในเรื่องของหุ้นหรือกิจการที่เราจะลงทุนและเส้นทางการดำเนินชีวิตของตนเอง   คำพูดปิดท้ายของผมก็คือคำพูดเท่ ๆ  อีกครั้งว่า  เราต้องเลือก  ข้างที่ถูกต้องของประวัติศาสตร์

INFO: http://portal.settrade.com/blog/nivate/2012/08/20/1164

เปิดคัมภีร์เซียนวีไอ 'โจ..ลูกอีสาน' กว่าจะมีพอร์ตหุ้น 'เลข 9 หลัก'

เปิดคัมภีร์เซียนวีไอ 'โจ..ลูกอีสาน' กว่าจะมีพอร์ตหุ้น 'เลข 9 หลัก'


 คน จนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น ประโยคพลิกชีวิต 'โจ' อนุรักษ์ บุญแสวง ก่อนชีวิตจะกลับด้านจาก'คนจน' กลายเป็น 'เซียนหุ้นร้อยล้าน' นิยายกลายเป็นจริง
ถ้าชีวิตคนคนหนึ่งคือกระจกเงาสะท้อนให้เห็นตัวเอง ชีวิต "โจ"อนุรักษ์ บุญแสวง ก็เป็นยิ่งกว่านวนิยายสะท้อนให้ใครหลายคนเห็นว่าเด็กยากจนคนหนึ่งชีวิตยังประสบความสำเร็จได้...นิยายกลายเป็นความจริง!!!    
ในกลุ่มนักลงทุนวีไอรุ่นใหม่ โจนับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงในวัยเพียง 38 ปี เขามีพอร์ตหุ้นใหญ่ "เลข 9 หลัก" ด้วยหลักการลงทุน "กำไรทบต้น" พอร์ตขยายตัวเฉลี่ยปีละ 60% ทำกำไร 400 เท่า ภายในระยะเวลา 12 ปี เขาทำได้มาแล้ว!
โจเป็นคนจังหวัดพังงาแต่ใช้นามแฝง "ลูกอีสาน" ตามนวนิยายเรื่อง “ลูกอีสาน” ของ คำพูน บุญทวี หนังสืออ่านนอกเวลาที่บรรยายชีวิตเด็กบ้านนอกยากจนได้บาดลึกถึงหัวใจ  หลังคุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้น ป.6 แม่ต้องยึดอาชีพขายของชำเล็กๆ เลี้ยงดูครอบครัว 5 ปาก แต่ทุกคนมีหัวใจเดียวกัน "ชีวิตต้องสู้" ในวัยเด็กโจมีชีวิตค่อนข้างลำบาก นี่เองที่ทำให้เขามุ่งมั่นตั้งแต่เด็ก ชาตินี้ต้องประสบความสำเร็จให้ได้
ช่วงเรียนปริญญาตรีอยู่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โจใช้เวลาทุกเย็นคลุกอยู่ในห้องสมุดอ่านหนังสือพิมพ์และ นิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจ เพื่อนคนอื่นไปเที่ยวเฮฮากัน โจนั่งอ่าน..อ่าน และอ่านอย่างนี้ทุกวันตลอด 4 ปี เขาเคยล้มเหลวจากความพยายามเล่นหุ้นครั้งแรก และตามภรรยาไปอเมริกาไปทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อครัวในร้านอาหารเกาหลีประมาณ 1 ปีครึ่ง ก่อนจะกำเงิน 800,000 บาท กลับมาพิชิตความฝันที่รอคอยจนมีเงิน "หลักร้อยล้าน" ในปัจจุบัน  
 
เซียนหุ้นวีไอรายนี้ เล่าสไตล์การลงทุนให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า ปกติจะเป็นคนถือหุ้นค่อนข้างนานเฉลี่ยประมาณ 1 ปี เคยถือนานที่สุด 2-3 ปี ลงทุนสั้นที่สุด 2-3 เดือน ที่ขายเพราะราคาหุ้นขึ้นมาถึงเป้าหมายเร็วก็ขายทำกำไรออกมา  
การลงทุนของโจจะวางน้ำหนักหุ้นไม่กระจุกตัวกันเกินไป เขามีความคิดว่า "นั่งเก้าอี้หลายขาดีกว่าสองขา" ถ้าวิเคราะห์พลาดโอกาสเสียหายจะหนักมาก เพราะฉะนั้นจะไม่วัดดวงกับหุ้นเพียงหนึ่งหรือสองตัว แต่จะกระจายอย่างเหมาะสมเพื่อ “จำกัดความเสี่ยง” 
 
“ปกติผมจะมีหุ้นในพอร์ตประมาณ 10-15 ตัว แต่ช่วงนี้มีเยอะประมาณ 19 ตัว เพราะพอร์ตเริ่มใหญ่ขึ้น ผมจะไม่เล่นหุ้นเป็นกลุ่ม แต่เน้นเป็นตัว ผมถือคติว่าถ้าหุ้นดีจริง สุดท้ายราคาต้องขยับ”
คำจำกัดความของหุ้นที่เขาชอบลงทุนคือ “หุ้นถูก คุณภาพใช้ได้” ถ้าใครรู้จักโจแทบจะไม่เห็นเขาลงทุนในหุ้นกลุ่มค้าปลีกที่วีไอส่วนใหญ่ชอบลงทุน เขาให้เหตุผลง่ายๆ "มันแพงครับ!" (หัวเราะ) โจเล่าว่า ทุกวันนี้มีนักลงทุนแนววีไออยู่ 3 ประเภท พวกแรก...ประเภทเดียวกับผม คือ ชอบ "หุ้นถูก คุณภาพใช้ได้" พวกที่สอง...ชอบหุ้นคุณภาพดีหรือเปล่าไม่รู้ แต่ขอ "ถูก" ไว้ก่อน พวกสุดท้าย...ชอบหุ้น “ซูเปอร์สต็อก” ถูกแพงไม่ว่า ขอให้คุณภาพบริษัทดีไว้ก่อน ประเภทหลังนี้ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ปรมาจารย์วีไอในประเทศไทย “ชอบมาก”
สำหรับวิธีการเลือกหุ้นลงทุน ข้อแรก.."ผมจะดูกำไร" ส่วนตัวมีความเชื่อว่ากำไรเป็นเสมือน "มือที่มองไม่เห็น" กำไรคือ "เจ้ามือตัวจริง" ที่จะผลักดันราคาหุ้น 
"ผมจะชอบหุ้นที่มีแนวโน้มว่ากำไรสุทธิจะเติบโตมากๆ อย่างน้อยต้องขยายตัว 20-30% ต่อปี นั่นแปลว่าบริษัทนั้นมีสตอรี่ที่ดีมารองรับแล้ว"   
ข้อสอง..ผมจะวิเคราะห์ "มูลค่าหุ้นที่ควรจะเป็นภายใน 1 ปีข้างหน้า" นำมาเปรียบเทียบกับราคาหุ้นที่ซื้อขายในปัจจุบัน ถ้าหุ้นตัวนั้นมีส่วนเผื่อเพื่อความปลอดภัย (margin of safety) ยิ่งมาก..ยิ่งชอบ ถามว่าวิธีการคำนวณต้องทำอย่างไร? เขาบอกว่า เรื่องนี้ต้องไปศึกษาเอง ไม่มีทางลัด นักลงทุนต้องไปอ่านแบบแสดงรายการข้อมูลประจำปี (56-1) บ่อยๆ ตัวเองก็อ่านมาแล้วเกือบทุกบริษัท
โจ สรุปให้ฟังว่าหากมองในแง่ของตัวเลขจะดูหลักๆ ดังนี้ หนึ่ง..เน้นดูค่า P/E ควรต่ำเข้าไว้ แต่ถ้าคุณภาพดี ก็ไม่ต้องต่ำมากก็ได้ ปกติหากบริษัทนั้นมีคุณภาพที่ดี "ผมจะเพิ่มพรีเมียม..ให้ค่าเฉลี่ย P/E ขึ้นไปอีก 1 เท่า" แต่ก็ไม่ได้ใช้หลักการนี้ตายตัว  ถ้าคุณภาพ "ดีปานกลาง" จะเพิ่มพรีเมียมค่าเฉลี่ย P/E อีกเพียง 0.5 เท่า จากค่าเฉลี่ยปกติ พวกหุ้นค้าปลีก และโรงพยาบาลจะเป็นกลุ่มที่มีคุณภาพ "ดีที่สุด" เพราะมีการเจริญเติบโตทุกปี แถมงบการเงินก็ดี ผู้บริหารเก่ง และแทบไม่มีความเสี่ยง
สอง..เน้นหุ้นที่มีอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ต้องมากกว่า 15%  สาม..อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) ธุรกิจทั่วไปไม่ควรเกิน 1 เท่า ไม่เช่นนั้นจะเริ่มเสี่ยง แต่บางธุรกิจมีข้อยกเว้น เช่น กลุ่มธนาคาร และกลุ่มลิสซิ่ง เป็นต้น 
ข้อสุดท้าย.. ดูวงจรกระแสเงินสด บริษัทไหนมีเงินนอนอยู่ในบริษัทมากๆ ถือว่าน่าสนใจ โดยเฉพาะกลุ่มโรงพยาบาล และค้าปลีก เพราะเวลาเขาขายสินค้าจะรับเงินสดทันที แต่เวลาซื้อสินค้ากว่าจะจ่ายเงินก็ 60 วัน เท่ากับว่าเขามีเงินสดกองในบริษัทตลอดเวลา แถมเงินส่วนนี้มีดอกเบี้ยด้วย
“ถ้าผมเจอหุ้นที่มีคุณสมบัติอย่างที่บอก ผมจะเคาะขวา (ซื้อฝั่ง Offer) เลย เพราะกลัวมีคนมาแย่ง ไม่ต้องตั้งรอ ซื้อแพงหน่อยไม่เป็นไร แต่ถ้าตัวไหนดูแล้วอัพไซด์ไม่มาก..ก็รอหน่อย! ส่วนใหญ่จะซื้อทีเดียวเลย ถ้าลงมาก็จะซื้อเพิ่มอีก ตัวไหนดีมากจะซื้อไม่เกิน 30% ของพอร์ต ปกติจะมีหุ้นตัวหลักในใจ 6-7 ตัว”     
ก่อนจะเป็นวีไอที่ประสบความสำเร็จแก่นแท้ข้อหนึ่งที่จะต้องท่องไว้เลยคือ "เราซื้อธุรกิจไม่ได้ซื้อหุ้น" คนส่วนใหญ่ที่คิดว่าซื้อหุ้น เพราะเขาเชื่อว่าราคาหุ้นจะสูงขึ้น แต่หากคิดว่าซื้อธุรกิจ เราจะคิดว่าธุรกิจนี้จะมีกำไรสูงขึ้น ซึ่งมันจะเป็นตัวผลักดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น แต่จะคิดแบบซื้อธุรกิจได้คุณต้องศึกษาธุรกิจนั้นอย่างลึกซึ้ง
"บางคนไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหน คุณต้องไปอ่านหนังสือ การลงทุนก็เหมือนปลูกทุเรียนปีเดียวคงไม่มีทางได้กิน แต่ผมวันนี้ศึกษาข้อมูลเพียง 1 วัน บางครั้ง 5-10 นาที ก็ตัดสินใจได้แล้ว เพราะผมพร้อมตลอดเวลารู้จักทุกบริษัทแล้ว"
มาถึงศาสตร์เรื่องจิตวิทยา และทัศนคติ โจเล่าว่า เคยมีอาจารย์ท่านหนึ่งสอนไว้ตลาดหุ้นจะมี 2 คน คือ "ตัวเรา"  และ "นายตลาด" ตลอดเวลาเราจะซื้อขายหุ้นกับนายตลาด ซึ่งนายตลาดเป็นคนอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ บ้าๆ บอๆ วันไหนอารมณ์ดีจะมาเสนอซื้อหุ้นเราในราคาสูงๆ แต่หากวันไหนอารมณ์หดหู่ มองโลกในแง่ร้าย จะมาเสนอขายหุ้นให้เราในราคาต่ำๆ ฉะนั้นเรามี 2 ทางเลือก คือ 1. หาประโยชน์จากนายตลาด หรือ 2. ตกอยู่ในอิทธิพลของนายตลาด ดังนั้นหากเราเลือกถูกทาง ก็ไม่ต้องกลัวหุ้นตก 
"ผมพนันเลยว่ากว่า 90% ของคนที่เข้ามาในตลาดหุ้น จะกลายเป็นนายตลาดเสียเอง ยิ่งเขาไม่สามารถแยกตัวเป็นอิสระจากนายตลาดได้ เขาก็จะ “เจ๊ง” เห็นคนชอบขายหุ้นตอนราคาต่ำๆ แล้วไปไล่ซื้อช่วงสูงๆ..ถ้าเรามั่นใจถือเลย ขาดทุนก็ไม่เป็นไร เชื่อมั้ย! ตอนวิกฤติซับไพร์ม ผมขาดทุนครึ่งหนึ่ง แต่ก็ไม่ขายของดีราคาต่ำจะขายทำไม! มันไม่สมเหตุสมผล ตรงข้ามเราควรซื้อเพิ่มถ้ามีเงิน อย่าไปหวั่นไหวตามตลาด คนที่อดทนผมรับรองไม่สำเร็จมากก็สำเร็จน้อยอย่างแน่นอน" เขากล่าวอย่างมั่นใจ
โจบอกว่า ทุกๆ วันจะมองหาหุ้นที่จะซื้อตลอดเวลา มองหุ้นบางตัวอยู่แต่ราคาอาจแพงไปนิด แถมโอกาสชนะมีแค่ 50% ถ้าเป็นแบบนั้น "จะยังไม่ซื้อ" เพราะโอกาสชนะแค่ 50% เหมือนเรา "เล่นการพนัน" จะซื้อก็ต่อเมื่อโอกาสชนะต้องมากถึง 80-90% เท่านั้น
“ที่ผ่านมาผมลงทุนในตลาดหุ้น 100% ตลอด จากสถิติพบว่าตั้งแต่ตลาดหลักทรัพย์ก่อตั้งในปี 2518 สร้างผลตอบแทนเฉลี่ย 12% ต่อปี สูงสุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์ทุกประเภท ผมยังเชื่อว่าระยะยาวตลาดหุ้นยังจะให้ผลตอบแทนดีที่สุดต่อไป” และ "โจ..ลูกอีสาน" ก็จะฝังตัวอยู่ในตลาดหุ้น ที่ที่เขารักตลอดไป!!!
รวยแล้ว!!! ยังอาศัยบ้านพักข้าราชการ สำหรับเป้าหมายการลงทุน อนุรักษ์ บุญแสวง บอกว่า ในปีนี้ ขอผลตอบแทน 30% ก็พอใจแล้ว แต่ระยะยาวอยากได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 20% ต่อปี คนที่เก่งที่สุดในโลกอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ ก็ทำได้เท่านี้ แต่เขาทำได้ติดต่อกัน 50 ปี ถามว่าภายใน 5-10 ปีข้างหน้า อยากมีพอร์ตสูงขึ้นเป็นระดับเท่าไร มาถึงตอนนี้ "ผมพอใจแล้ว"
ทุกวันอนุรักษ์จะตื่นเช้าไปส่งลูกทั้ง 3 คน ไปโรงเรียน (ลูกชายคนโต 9 ปี ลูกชายคนรอง 7 ปี ลูกสาวคนสุดท้อง 3 ปี) ส่งเสร็จจะกลับมาอ่านข่าว บจ.ที่แจ้งตลาดหลักทรัพย์ และอ่านบทวิเคราะห์ โดยจะไม่ฟังคำแนะนำของมาร์เก็ตติ้ง
"ผมถือคติว่า ฟังคนอื่นหรือลอกหุ้นคนอื่นชีวิตการลงทุนคงไม่รอด ที่ผ่านมาผมปฏิญาณกับตัวเองว่าจะไม่ใช้ “อินไซเดอร์” ถึงได้กำไรก็ไม่ภูมิใจ เราโกหกคนอื่นได้ แต่โกหกตัวเองไม่ได้ ไม่อยากเงยหน้าอายฟ้า ก้มหน้าอายดิน"
สำหรับเงินที่ได้กำไรจากการลงทุน โจไม่เคยนำไปซื้อบ้านหรือที่ดินทุกวันนี้ครอบครัวเขายังอยู่บ้านพักข้าราชการ (ภรรยาเป็นอาจารย์) เขามองว่า สินทรัพย์ประเภทนั้นไม่ได้สร้างรายได้ให้มากมาย และไม่เคยซื้อทองคำ ลองดูราคาย้อนหลัง 30 ปี ผลตอบแทนทองคำ "ห่วยที่สุด" แต่คนมองว่าทองคำดีในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
"ผมมีซื้อที่ดินในจังหวัดพังงา 40-50 ไร่ ให้พี่ชาย (อายุห่างกัน 2 ปี) นำไปปลูกปาล์มและทำสวนยาง ให้เขามีอาชีพเลี้ยงตัวเอง"
ปัจจุบันอนุรักษ์ซื้อขายหุ้นหลายโบรกเกอร์ที่ บล.เอเซีย พลัส, บล.โนมูระ พัฒนสิน, บล.ไทยพาณิชย์, บล.ภัทร และ บล.ธนชาต ถามว่าทำไม! ต้องเล่นหลายโบรก เขาตอบว่า อยากได้งานวิจัยที่หลากหลายและดีที่สุด นอกจากนี้แต่ละโบรกเกอร์มีโปรแกรมการซื้อขายไม่เหมือนกัน ส่วนตัวมองว่า บล.เอเซีย พลัส มีงานวิจัยดีที่สุด
เซียนหุ้นร้อยล้าน กล่าวทิ้งท้ายว่า อยากให้นักลงทุนที่ยังไม่ถึงเป้าหมายศึกษาหาความรู้ให้มากที่สุด อย่าไปคิดว่าซื้อแล้วหุ้นต้องขึ้นทันที ให้คิดว่าเรา "ซื้อธุรกิจ" ถ้าใครไม่พร้อมก็ให้ไปซื้อกองทุนรวมแทนก็ได้ ปัจจุบันมีหลายกองทุนสร้างผลตอบแทนได้ค่อนข้างดี
"ผมอยากฝากถึงนักลงทุนทุกคนว่า ถ้าอยากมีชีวิตหลังเกษียณที่ดีควรรีบลงทุนตั้งแต่อายุน้อยๆ หุ้นเป็นสินทรัพย์ประเภทหนึ่งที่พิสูจน์แล้วว่าให้ผลตอบแทนดีที่สุด แต่ก็ต้องลงทุนด้วยทัศนคติที่ถูกต้อง คือ มองหุ้นให้เป็นธุรกิจ และมีอารมณ์ที่มั่นคง หุ้นจึงจะกลายเป็น “บ่อเงินบ่อทอง” ขุดเท่าไรก็ไม่หมด แต่ถ้าลงทุนผิดวิธีมีเท่าไรก็หมดได้"
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

BWG สะสม เล่นตามแนวปะทะ

BWG - บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน)



บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) จัดสร้างศูนย์บริหารและจัดการกากอุตสาหกรรม จังหวัดสระบุรี เพื่อสนองตอบนโยบายการขจัดมลพิษจากของเสียอุตสาหกรรมของรัฐบาล บนพื้นที่ตำบลห้วยแห้ง อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี เนื้อที่กว่า 250 ไร่ โดยในปี 2540 บริษัทฯ ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการ คัดแยก และฝังกลบสิ่งปฏิกูลฯ ที่ไม่เป็นอันตราย (ลำดับที่ 101) จากกรมโรงงานอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ต่อมาบริษัทฯ ได้เพิ่มศักยภาพการให้บริการโดยในปี 2548 ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการปรับคุณภาพ และฝังกลบสิ่งปฏิกูลฯ ที่เป็นอันตราย (Hazardous Waste) รวมทั้งบำบัดน้ำเสียรวม (ประเภทกิจการลำดับที่ 101 และ 105) และในปี 2549 บริษัทฯ ได้รับอนุญาตให้ประกอบกิจการปรับปรุงคุณภาพสิ่งปฏิกูลเพื่อเป็นเชื้อเพลิงทด แทน และวัตถุดิบทดแทน (ประเภทกิจการลำดับที่ 106)

บริษัทในเครือ
  •     บริษัท เบตเตอร์ เวสท์ แคร์ จำกัด เป็นตัวแทนการรวบรวมและขนส่งสิ่งปฎิกูลฯ เพื่อไปกำจัดยังเตาเผาซีเมนต์ และเตาเผาของกรมโรงงานอุตสาหกรรม
  •     บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ ทรานสปอร์ต จำกัด เป็นผู้ให้บริการขนส่งสิ่งปฏิกูลฯ ด้วยรถขนส่งและภาชนะที่ได้มาตรฐาน
  •     บริษัท เอิร์ท เท็ค เอนไวรอนเมนท์ จำกัด เป็นผู้ให้บริการนำสิ่งปฏิกูลฯ ผ่านกระบวนการและน กลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ และให้คำปรึกษาด้านการจัดการของเสียโดยรวม
  •     บริษัท อัคคีปราการ จำกัด (มหาชน) ให้บริการกำจัดสิ่งปฏิกูลฯ โดยวิธีการเผาทำลาย


 รายใหญ่ถือหุ้นน้อย


อันนี้น่าสนใจ ตัวเลขทางการเงินที่สำคัญ.



วันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2555

BWG เผย Q2/55 กำไรอยู่ที่ 19.40 ลบ. ส่วนงวด 6 เดือนกำไรอยู่ที่ 40.82 ลบ.

BWG เผย Q2/55 กำไรอยู่ที่ 19.40 ลบ. ส่วนงวด 6 เดือนกำไรอยู่ที่ 40.82 ลบ.

             สรุปผลการดำเนินงานของบจ.และรวมของบริษัทย่อย (F45-3)             
              บริษัท เบตเตอร์ เวิลด์ กรีน จำกัด (มหาชน) BWG

                                           (หน่วย : พันบาท)
งบการเงินรวม                                      
                                           ไตรมาสที่ 2                        งวด 6 เดือน
                                             สอบทาน                           สอบทาน
       สิ้นสุดวันที่                   30 มิถุนายน                     30 มิถุนายน
             ปี                             2555         2554         2555         2554
  กำไร (ขาดทุน) สุทธิ         19,409       22,885       40,829       43,893
  กำไร (ขาดทุน) สุทธิ           0.027        0.072        0.057        0.137
     ต่อหุ้น (บาท)           



งบการเงินเฉพาะกิจการ                               
                                          ไตรมาสที่ 2               งวด 6 เดือน
                                             สอบทาน                    สอบทาน
       สิ้นสุดวันที่                   30 มิถุนายน               30 มิถุนายน
             ปี                               2555         2554         2555         2554
  กำไร (ขาดทุน) สุทธิ           8,910       15,514       27,859       25,985
  กำไร (ขาดทุน) สุทธิ           0.012        0.048        0.039        0.081
     ต่อหุ้น (บาท)           
               
               

เรียบเรียง โดย อิทธิพล พันธ์ธรรม


อีเมล์แสดงความคิดเห็น  commentnews@efinancethai.com


ที่มา อีไฟแนนซ์ไทย     วันที่   14/08/12   เวลา   9:44:17

MANRIN : บริษัท แมนดารินโฮเต็ล จำกัด

MANRIN : บริษัท แมนดารินโฮเต็ล จำกัด

บมจ.แมนดารินโฮเต็ล (MANRIN) แจ้งว่า บริษัทมีแผนจะปรับปรุงอาคารโรงแรมแมนดาริน ถนนพระราม 4 ซึ่งเปิดดำเนินการมากว่า 45 ปี ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนในการปรับปรุงโครงการนี้ประมาณ 400 ล้านบาท ทั้งนี้ จะปิดปรับปรุงตั้งแต่ปลาย ก.พ.2555 ถึง ม.ค.2556

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

บันทึกไว้ก่อน

VNT
TTCL
CPF
AP
PS
RML
AMATA
TUF
MAJOR
CPN
PTTGC
PTT
SMIT
SPCG
DEMCO
SMT
JAS
AOT
SCC
AH
PHATRA
AAV
BTS
KTB