------------------------------------------ ------------------------------------------------------------ trader: สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2555

สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
 
เมื่อคนมีอายุมากขึ้น  อาจจะตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป  พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะ  มองไปข้างหลัง  นั่นคือ  แทนที่จะ  มองไปข้างหน้า  คิดถึงอนาคตที่  สดใส  ที่จะเกิดขึ้น  หรืออนาคตที่เขาจะสร้างมันให้กับตัวเอง  คิดถึงความร่ำรวยและชื่อเสียง  คิดถึงชีวิตครอบครัวและลูกที่เขาจะมีหรือลูกที่จะเติบโตขึ้น  คนอายุมากกลับนึกถึง  วันเก่า ๆ  ที่พวกเขาผ่านมา  คิดถึง  ความสุข  ที่พวกเขาได้เคยสัมผัส  คิดถึงเรื่องราวความประทับใจต่าง ๆ  ที่ได้ประสบมา  พวกเขามักจะรู้สึกว่า  สิ่งเก่า ๆ  เหล่านั้น   เป็นสิ่งที่ดีงาม  เป็นสิ่งที่ถูกต้อง  และที่สำคัญที่สุดก็คือ  มันให้ความสุขทางด้านจิตใจมากกว่าสิ่งใหม่ ๆ  แม้ว่ามันจะไม่มีความสะดวกสบายเทียบเท่า  ดังนั้น  คนที่มีอายุมากจำนวนมากจึงมักจะพยายาม  ปฏิเสธ  แนวความคิดและวิถีชีวิตแบบคนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นที่เป็นหนุ่มสาว   อาการแบบนี้  เกิดขึ้นได้แม้แต่กับคนที่เคยมีความคิดก้าวหน้ามากที่สุดและประสบความสำเร็จสูงมากในยามที่เขายังเป็นคนหนุ่มสาว   พูดอีกแบบหนึ่งก็คือ  พวกเขาติดยึดกับ  อดีตที่รุ่งเรือง  และไม่สามารถที่จะปรับตัวเข้ากับปัจจุบันและอนาคตที่เปลี่ยนแปลงไปมากได้  ดังนั้น  พวกเขากลายเป็นคนที่ ล้าสมัย  เป็น  สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์  อย่างที่  เสกสรรค์ ประเสริฐกุล  อดีตผู้นำนักศึกษาสมัย 14 ตุลา 16 เคยพูดไว้ถึงสถานะของตัวเองเมื่อออกจากป่าเข้ามอบตัวกับรัฐบาลในช่วงราวปี 2522
          ที่จริงในช่วงที่อาจารย์ เสกสรรค์ พูดนั้น  เขายังหนุ่มมาก  แต่ดูเหมือนเขาจะยอมรับว่าแนวความคิดและความเชื่อทางการเมืองที่มีมาแต่เดิมนั้น  ใช้ ไม่ได้อีกต่อไปเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในขณะนั้นที่จีนกับโชเวีย ตรัสเซียเกิดความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงส่งผลให้แนวทางการต่อสู้ของนักศึกษา ที่เข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์เพื่อต่อสู้กับรัฐบาลไทยผิดทางไปหมดและ ใช้ไม่ได้อีกต่อไป    ดังนั้น  พวกเขาจึงออกจากป่าเพื่อหาหนทางใหม่  บางคนก็กลายเป็นสิ่งชำรุดที่  ไม่สามารถแก้ไขได้ ตลอดกาล
          ผมเกริ่นเรื่องที่เป็นแนวความคิดทางการเมืองก็อาจจะเป็นเพราะการติดยึดกับอดีตและจำคำประทับใจที่ได้ฟังในช่วงวัยหนุ่มได้  นี่ก็เป็นอาการของคนสูงอายุอย่างที่พูด  อย่างไรก็ตาม  ผมเองก็ตระหนักอยู่เสมอว่า  ความ  ล้าสมัย  ของผมนั้น  พร้อมที่จะเกิดได้ตลอดเวลาโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาวะปัจจุบันที่ทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนแปลงเร็วจนไม่น่าเชื่อ  สิ่งที่ผมจำได้เมื่อยังเป็นเด็กหรือคนหนุ่มนั้น  เดี๋ยวนี้มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นแล้วและเราจะต้องยอมรับมัน  เราไม่สามารถฝืนกระแสได้  เราจะต้องยอมรับว่าสิ่งที่คนแก่หรือคนมีอายุทำนั้น  มันมักจะกำลังกลายเป็นอดีตไม่ช้าก็เร็ว  สิ่งใดที่คนหนุ่มสาวหรือเด็กคิดและทำที่มันแตกต่างจากคนสูงวัย  มันก็จะกลายเป็นอนาคต  ดังนั้น  ถ้าเราจะพูดถึง กระแส  หรือแนวโน้มหรือทิศทาง  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร  ทางหนึ่งก็คือ  การดูว่าคนหนุ่มสาวหรือเด็กคิดหรือทำอย่างไร
          ลองมาดูว่าอะไรคือความแตกต่างระหว่างที่ผมยังเป็นหนุ่ม  กับปัจจุบันที่คนหนุ่มสาวกำลังทำ  ก็จะเห็นการเคลื่อนไหวหรือการเปลี่ยนแปลงที่กำลังดำเนินไป  เริ่มกันตั้งแต่ทางด้านสังคมซึ่งสิ่งที่ผมเห็นว่าเปลี่ยนแปลงชัดเจนมากที่สุดก็คือเรื่องของความเสมอภาคระหว่างหญิงกับชาย  ดังนั้น  เรื่องของการ  รักนวลสงวนตัว  ซึ่งในสมัยที่ผมยังเป็นวัยรุ่นนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญมาก  เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย  เดี๋ยวนี้เราแทบไม่พูดกันแล้ว  เช่นเดียวกับการที่ผู้ชายเป็น  ช้างเท้าหน้า  เป็นผู้นำครอบครัว  เดี๋ยวนี้ก็ลดดีกรีลงไปมาก   เรื่องที่สองคือเรื่องของการเมืองที่ผมเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้ามาเป็นเวลานาน   แต่ในระยะหลัง ๆ  นี้  อาจจะประมาณซักสิบปีที่ผ่านมา  ตอนนี้ก็เห็นได้ชัดว่าทิศทางคงจะเปลี่ยนไปเป็นระบบเสรีประชาธิปไตยหรือประชาธิปไตยแบบทุนนิยมมากขึ้นเรื่อย ๆ  เหตุผลของผมก็คือ  คนสูงอายุนั้น  ยังค่อนข้างยึดหลักจารีตนิยมอยู่มาก  แต่คนหนุ่มสาวในวันนี้ดูเหมือนว่าจะมีแนวความคิด เสรี  มากขึ้นเรื่อย ๆ  พวกเขาไม่สนใจหรือไม่ได้ยึดแนวความคิดเรื่องความ  อาวุโส  หรือนิยมชมชอบในเรื่องของ  ชาติกำเนิด หรือ  ตำแหน่งทางสังคม มากเหมือนในสมัยก่อน  พวกเขาสนใจเรื่องว่าใครมีเงินหรือมีความสามารถส่วนตัวมากกว่ากัน  ว่าที่จริงเงินนั้นกลายเป็นเครื่องวัดความเป็น  ไฮโซในปัจจุบันไปแล้ว  ซึ่งนี่ก็คือแนวทางของสังคมประชาธิปไตยสมัยใหม่นั่นเอง
          ในด้านของเศรษฐกิจนั้น  คนไทยไม่ได้พึ่งพิงภาคเกษตรกรรมอย่างที่ผมเห็นในสมัยที่เป็นหนุ่ม  คนหนุ่มสาวสมัยนี้อยู่ตามโรงงานและสถานที่ให้บริการต่าง ๆ   มีแต่คนแก่เป็นส่วนใหญ่ที่ยังอยู่ทำไร่ทำนาในชนบท  ดังนั้น  นับวันก็คือ  ประเทศไทยจะเป็นประเทศอุตสาหกรรมและบริการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ  คำพูดที่ว่าชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ  และปีนี้เศรษฐกิจดีเพราะข้าวหรือพืชผลการเกษตรดีนั้น  จะมีความเป็นจริงน้อยลงไปเรื่อย ๆ 
          ประเด็นสุดท้ายที่สำคัญที่ผมจะพูดถึงก็คือ  ธุรกิจหรือบริษัทหรือหุ้นที่เราจะลงทุน  เพราะนี่เป็นเรื่องสำคัญที่จะชี้ว่าเราจะประสบความสำเร็จในการลงทุนแค่ไหน?  สิ่งที่เราจะต้องวิเคราะห์และพิจารณาอย่างถี่ถ้วนก็คือ  บริษัทของเรานั้นเป็นบริษัทแห่งอนาคตหรือมีอนาคตที่สดใส   หรือเป็นบริษัทที่กำลังจะกลายเป็น  สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์  นั่นก็คือ  เราต้องพิจารณาดูว่าบริษัททำธุรกิจอะไร  ขายสินค้าหรือให้บริการอะไร  สินค้าหรือบริการเหล่านั้นมีโอกาสที่จะ  ล้าสมัย  และล้มหายตายจากไปจากตลาดหรือไม่   นอกจากนั้น  เราก็จะต้องดูด้วยว่าผู้บริหารของบริษัทที่เราลงทุนนั้น  เป็นคนที่อาจจะกลายเป็น สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์   หรือไม่?  นั่นก็คือ  ผู้บริหารอาจจะไม่ได้ตระหนักถึงการเปลี่ยนแปลงที่เป็นภัยคุกคามหรือตระหนักแต่ไม่สามารถแก้ปัญหาได้  การที่ผู้บริหารมีอายุมากเกินไปก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่เราจะต้องคำนึงถึง  จริงอยู่  คนแก่บางคนก็ยังมีความคิดที่ทันสมัยแต่นี่อาจจะเป็นข้อยกเว้นที่เราจะต้องดูให้ดี
          ในอดีตที่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลกนี้มักจะเป็นไปอย่างช้า ๆ  ทำให้ความเสี่ยงเนื่องจากการล้าสมัยมีไม่มาก  ดังนั้น  ปัจจัยนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ใหญ่หรือสำคัญนัก  แต่ในยุคปัจจุบันผมคิดว่านี่คือความเสี่ยงจริง ๆ  ที่ลืมคิดไม่ได้   ลองนึกดูสินค้าที่ล้าสมัยอย่างรวดเร็วจนบริษัทตั้งตัวไม่ทันดูก็จะพบว่ามีมากมาย   ตัวอย่างเช่น  กล้องถ่ายรูปรุ่นที่ต้องใช้ฟิล์มที่ถูกทำให้ล้าสมัยภายในไม่กี่ปีหลังจากที่มันอยู่มาเป็นร้อยปี   ดูเรื่องการบินที่สายการบินโลว์คอสท์ดูเหมือนจะมาแย่งชิงการนำจากสายการบินแบบเดิม  และแม้กระทั่งช่วงเร็ว ๆ นี้ที่คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล PC ที่โดนโน้ตบุคแย่งตลาดและทำให้ล้าสมัย  และก็เพียงไม่นานต่อมาในช่วงนี้ก็ดูเหมือนว่า  แท็บเล็ต  ก็กำลังจะเข้ามาทำให้โน้ตบุคอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก   นี่ยังไม่ต้องพูดถึง สมาร์ทโฟน ที่อาจจะกำลังเข้ามาทำให้อะไรก็ตามที่ อยู่กับที่กลายเป็นสิ่งล้าสมัย  ถ้าจะพูดไปก็คงต้องใช้หน้ากระดาษอีกมาก  แต่ข้อสรุปก็เหมือนกันนั่นคือ  ความ  ล้าสมัย  นั้น  มีโอกาสเกิดขึ้นกับธุรกิจต่าง ๆ  ได้มากมายแม้แต่บริษัทที่โดดเด่นมาก ๆ
          ผมคงไม่ต้องพูดว่า  ชีวิตของเราคือทรัพย์สินที่มีค่ามากที่สุด  ดังนั้น  เราจะต้องรักษามันไว้ให้มีความ  ทันสมัย  อยู่เสมอ   ไม่ใช่ว่าเราต้องทำตัวให้ทันสมัย  จิตใจและความคิดต่างหากที่เราจะต้องตระหนักรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นในโลกโดยเฉพาะที่อยู่รอบตัวเรา   นักลงทุนนั้น  ชีวิตจะรุ่งเรืองหรือตกต่ำปัจจัยสำคัญอยู่ที่การรู้จักเลือก  ทั้งเลือกในเรื่องของหุ้นหรือกิจการที่เราจะลงทุนและเส้นทางการดำเนินชีวิตของตนเอง   คำพูดปิดท้ายของผมก็คือคำพูดเท่ ๆ  อีกครั้งว่า  เราต้องเลือก  ข้างที่ถูกต้องของประวัติศาสตร์

INFO: http://portal.settrade.com/blog/nivate/2012/08/20/1164