BMCL คาดปี 59 เริ่มมีกำไร หลังเดินรถสายสีม่วง คาด 5-6 ปี ล้างขาดทุนสะสม 1 หมื่นล้านบาทหมด
นายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการ บมจ.รถไฟฟ้ากรุงเทพ หรือ BMCL เปิดเผยว่า ที่ประชุมผู้ถือหุ้นวันนี้ได้อนุมัติให้ BMCL เข้าทำสัญญาสัมปทานให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุงรักษาโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-บางซื่อ ในรูปแบบ PPP Gross Cost ระยะเวลาสัญญา 30 ปี มูลค่าไม่เกิน 80,365 ล้านบาทกับการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.)ด้วยคะแนนเสียง 99.98%
ขณะที่นายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ กรรมการผู้จัดการ BMCL กล่าวว่า เมื่อบริษัทได้รับงานเดินรถไฟฟ้าสายสีม่วงจะช่วยเพิ่มรายได้และจำนวนผู้โดยสาร คาดว่าผู้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีม่วงปีแรกจะมีจำนวนราว 1.8 แสนเที่ยว/วัน และจะมีผู้โดยสารส่งผ่านมายังเส้นทางรถไฟฟ้าปัจจุบันอีกราว 7 หมื่นเที่ยว/วัน ขณะที่จำนวนผู้โดยสารเส้นทางปัจจุบัน สายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางซื่อ ระยะทาง 20 กม.ดีขึ้นเป็นลำดับ จากปี 54 มียอดผู้โดยสาร 1.9 แสนเที่ยว/วัน โดยขณะนี้เพิ่มมาที่ 2.2 แสนเที่ยว/วัน
ดังนั้น จึงคาดว่าบริษัทจะ Breakevent และเริ่มมีกำไรในปี 59 ที่รถไฟฟ้าสายสีม่วงเริ่มให้บริการเดินรถ และเชื่อว่าอีก 5-6 ปี บริษัทน่าจะล้างขาดทุนสะสมที่มีประมาณ 1 หมื่นล้านบาทได่ทั้งหมด และอนาคคเมื่อมีเส้นทางรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นก็จะมีโครงข่ายครอบคลุมมากขึ้น ยิ่งจะทำให้จำนวนผู้โดยสารเข้าสู่ระบบรถไฟฟ้าที่บริษัทรับบริหารการเดินรถมากขึ้น และแนวโน้มรายได้ของยริษัทก็จะเติบโตตามจำนวนผู้โดยสาร
INFO: http://www.moneychannel.co.th
วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
วันพุธที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
BLAND : เล็งผุดศูนย์ซ่อมรถไฟฟ้าสีชมพูที่เมืองทองธานี
คมนาคม * รฟม.เร่งเจรจาขอใช้ พื้นที่ 30 ไร่ของบางกอกแลนด์ สร้าง ศูนย์ซ่อมและโรงจอดรถ สายสีชมพู แคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรี พร้อมเพิ่มสถานีอีก 2 แห่ง รองรับผู้โดยสารในย่านเมืองทองธานี คาดใช้งบลงทุน กว่า 1 พันล้านบาท คาดเปิดประมูลกลางปี 56
นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล ผู้ว่าการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับทางบริษัท บางกอกแลนด์ (BLAND) เพื่อตัดเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วง แคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรี เข้าเมือง ทองธานี และใช้เป็นโรงจอดและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าคาดว่าจะใช้พื้นที่ประมาณ 30 ไร่ และจะต้องใช้วงเงินลงทุนเพิ่มกว่า 1,000 ล้านบาท ดังนั้น รฟม.จึงส่งให้สำนักงานกฤษฎีกาตีความว่าเข้าข่ายต้องใช้ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ หรือไม่ โดยได้ส่งเรื่องนี้ไป1 เดือนแล้ว คาดว่าภาย ในกลางปี 2556 จะสามารถเปิดประ กวดราคาได้
ทั้งนี้ รฟม.วางแผนการใช้เส้นทางผ่านเมืองทองธานี มีจำนวน 2 สถานี และ ทำโรงจอดรถไฟฟ้า ซึ่งต้องใช้พื้นที่เกือบ 30 ไร่ ในเมือง ทองธานี คาดใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประ มาณ 1,500 ล้านบาท โดย บางกอกแลนด์ เสนอให้ใช้ที่ดินโดยไม่คิดค่าเช่าซึ่งส่วนนี้จะทำให้ รฟม.ประหยัดค่าเวนคืนได้ แต่มีเงื่อนไขให้บางกอกแลนด์สามารถสร้างอาคารเหนือโรงจอดรถไฟฟ้าที่อยู่ชั้นใต้ดินได้
"เหตุผลที่ รฟม.เลือกเมือง ทองธานีเป็นจุดผ่านของเส้นทางเดินรถไฟฟ้าสายสีชมพู เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีการจัดงานอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะมีจำนวนผู้ที่ต้อง การเดินทางจำนวนมากและเป็นแหล่งชุมชน ซึ่งคาดว่าหากตัดเส้น ทางไปจะทำให้มีผู้โดยสารใช้บริ การรถไฟฟ้าสายสีชมพูเพิ่มขึ้นวันละ 2 แสนคน หรือไม่น้อยกว่าผู้ที่เยี่ยมชมงานไม่น้อยกว่า 15 ล้านคนต่อปี" นายยงสิทธิ์ กล่าว
นายยงสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถ ไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะ พานใหม่-คูคต คาดว่าจะเริ่มประ กวดราคาได้ต้นปี 56 และในช่วงปลายปีหน้า จะเปิดประกวดราคาโครงการรถไฟฟ้าสายส้ม ช่วงตลิ่งชัน-มีนบุรี.
INFO: ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- พุธที่ 28 พฤศจิกายน 2555
นายยงสิทธิ์ โรจน์ศรีกุล ผู้ว่าการ การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับทางบริษัท บางกอกแลนด์ (BLAND) เพื่อตัดเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วง แคราย-ปากเกร็ด-มีนบุรี เข้าเมือง ทองธานี และใช้เป็นโรงจอดและซ่อมบำรุงรถไฟฟ้าคาดว่าจะใช้พื้นที่ประมาณ 30 ไร่ และจะต้องใช้วงเงินลงทุนเพิ่มกว่า 1,000 ล้านบาท ดังนั้น รฟม.จึงส่งให้สำนักงานกฤษฎีกาตีความว่าเข้าข่ายต้องใช้ พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ หรือไม่ โดยได้ส่งเรื่องนี้ไป1 เดือนแล้ว คาดว่าภาย ในกลางปี 2556 จะสามารถเปิดประ กวดราคาได้
ทั้งนี้ รฟม.วางแผนการใช้เส้นทางผ่านเมืองทองธานี มีจำนวน 2 สถานี และ ทำโรงจอดรถไฟฟ้า ซึ่งต้องใช้พื้นที่เกือบ 30 ไร่ ในเมือง ทองธานี คาดใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นประ มาณ 1,500 ล้านบาท โดย บางกอกแลนด์ เสนอให้ใช้ที่ดินโดยไม่คิดค่าเช่าซึ่งส่วนนี้จะทำให้ รฟม.ประหยัดค่าเวนคืนได้ แต่มีเงื่อนไขให้บางกอกแลนด์สามารถสร้างอาคารเหนือโรงจอดรถไฟฟ้าที่อยู่ชั้นใต้ดินได้
"เหตุผลที่ รฟม.เลือกเมือง ทองธานีเป็นจุดผ่านของเส้นทางเดินรถไฟฟ้าสายสีชมพู เนื่องจากบริเวณดังกล่าวมีการจัดงานอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะมีจำนวนผู้ที่ต้อง การเดินทางจำนวนมากและเป็นแหล่งชุมชน ซึ่งคาดว่าหากตัดเส้น ทางไปจะทำให้มีผู้โดยสารใช้บริ การรถไฟฟ้าสายสีชมพูเพิ่มขึ้นวันละ 2 แสนคน หรือไม่น้อยกว่าผู้ที่เยี่ยมชมงานไม่น้อยกว่า 15 ล้านคนต่อปี" นายยงสิทธิ์ กล่าว
นายยงสิทธิ์ กล่าวว่า ส่วนความคืบหน้าโครงการก่อสร้างรถ ไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะ พานใหม่-คูคต คาดว่าจะเริ่มประ กวดราคาได้ต้นปี 56 และในช่วงปลายปีหน้า จะเปิดประกวดราคาโครงการรถไฟฟ้าสายส้ม ช่วงตลิ่งชัน-มีนบุรี.
INFO: ข่าวเศรษฐกิจ หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- พุธที่ 28 พฤศจิกายน 2555
วันอังคารที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
หยิบเงิน หยิบทอง (28/11/55)
ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้ยังไม่สามารถผ่าน 1300 จุดได้ ปิดบวก 6.18 จุด มาอยู่ที่ 1297.03 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 30,535 ล้านบาท
ต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 3 มากขึ้นเป็น 1,161 ล้านบาท แต่ยังคง Long สุทธิใน Index Futures เป็นวันที่ 4 มากถึง 1,677 สัญญา และซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 2 มากถึง 9,772 ล้านบาท
MBKET ประเมินทิศทาง SET INDEX วันนี้คาดแกว่งตัวในกรอบแคบ และยังไม่น่าผ่าน 1,300 จุด เพราะขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนการลงทุน ประเด็นความกังวลต่อการแก้ไขปัญหาหน้าผาทางการคลังสหรัฐฯ ยังคงกดดัน Upside ของสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย คาดว่าจะเป็นการสำรองเงินในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน PTTEP ซึ่งราคาจะกำหนดวันที่ 30 พ.ย. และใช้สิทธิในสัปดาห์หน้า
สำหรับประเด็นสำคัญวันนี้คือ การประชุมกนง. ซึ่งตลาดมีมุมมองไม่ชัดเจนต่อการพิจารณาคง หรือ ลดอัตราดอกเบี้ย RP1 วัน แต่ในความเห็นของ MBKET เชื่อว่ากนง.จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนัดสุดท้ายของปี
MBKET เชื่อว่ากลุ่ม ICT, หุ้นที่เกี่ยวข้องกับ MSCI และกลุ่มธนาคารยังคงเด่น
MBKET แนะนำให้ "ทยอยขายทำกำไร 5% ของพอร์ตบริเวณ 1300 จุด+/-" และกลับมาถือเงินสด 50% และพอร์ตหุ้น 50%
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: MBKET แนะนำ "ขายทำกำไร 5% ของพอร์ต" และทยอยสะสม INTUCH และ "เก็งกำไร" INET
กลยุทธ์ทางเลือกวันนี้: MBKET แนะนำ "พอร์ตที่เปิด Long หลังดัชนีทะลุ 877 จุด มีเป้าหมายรอทำกำไรในช่วงสูงขึ้นช่วง 878-885 จุด และ 890 จุด"
INFO: maybank-ke.co.th
ต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 3 มากขึ้นเป็น 1,161 ล้านบาท แต่ยังคง Long สุทธิใน Index Futures เป็นวันที่ 4 มากถึง 1,677 สัญญา และซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้เป็นวันที่ 2 มากถึง 9,772 ล้านบาท
MBKET ประเมินทิศทาง SET INDEX วันนี้คาดแกว่งตัวในกรอบแคบ และยังไม่น่าผ่าน 1,300 จุด เพราะขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนการลงทุน ประเด็นความกังวลต่อการแก้ไขปัญหาหน้าผาทางการคลังสหรัฐฯ ยังคงกดดัน Upside ของสินทรัพย์เสี่ยง รวมถึงแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติในตลาดหุ้นไทย คาดว่าจะเป็นการสำรองเงินในการซื้อหุ้นเพิ่มทุน PTTEP ซึ่งราคาจะกำหนดวันที่ 30 พ.ย. และใช้สิทธิในสัปดาห์หน้า
สำหรับประเด็นสำคัญวันนี้คือ การประชุมกนง. ซึ่งตลาดมีมุมมองไม่ชัดเจนต่อการพิจารณาคง หรือ ลดอัตราดอกเบี้ย RP1 วัน แต่ในความเห็นของ MBKET เชื่อว่ากนง.จะพิจารณาคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมนัดสุดท้ายของปี
MBKET เชื่อว่ากลุ่ม ICT, หุ้นที่เกี่ยวข้องกับ MSCI และกลุ่มธนาคารยังคงเด่น
MBKET แนะนำให้ "ทยอยขายทำกำไร 5% ของพอร์ตบริเวณ 1300 จุด+/-" และกลับมาถือเงินสด 50% และพอร์ตหุ้น 50%
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: MBKET แนะนำ "ขายทำกำไร 5% ของพอร์ต" และทยอยสะสม INTUCH และ "เก็งกำไร" INET
กลยุทธ์ทางเลือกวันนี้: MBKET แนะนำ "พอร์ตที่เปิด Long หลังดัชนีทะลุ 877 จุด มีเป้าหมายรอทำกำไรในช่วงสูงขึ้นช่วง 878-885 จุด และ 890 จุด"
INFO: maybank-ke.co.th
กลต. ออกหนังสือแจ้งเตือนนักลงทุน ป้องกันพวกหาผลประโยชน์จากนักลงทุน
กลต. ออกหนังสือแจ้งเตือนนักลงทุน ป้องกันพวกหาผลประโยชน์จากนักลงทุน บางเว็บไซต์อาจมีการให้ข้อมูลที่อาจเข้าข่ายหลอกลวงประชาชน แนะนำ หรือชักชวนให้ไปลงทุนในหุ้น และได้รับประโยชน์จากการกระทำดังกล่าว
ด้วยมีประชาชนจำนวนมากที่ได้รับการชักชวนให้ลงทุนในรูปแบบต่าง ๆ สอบถามมายัง ก.ล.ต. ว่า ผู้ประกอบการรายใดเป็นผู้อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.
ก.ล.ต. จึงขอชี้แจงว่า ธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. ที่ต้องได้รับใบอนุญาตในการประกอบธุรกิจ หมายถึง ธุรกิจหลักทรัพย์ตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 และธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ตามพระราชบัญญัติสัญญาซื้อขายล่วงหน้า พ.ศ. 2546 โดยรายชื่อของผู้ประกอบธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจสัญญาซื้อขายล่วงหน้าที่ได้รับอนุญาตโดยชอบด้วยกฎหมาย และอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. สามารถค้นดูได้จาก http://www.sec.or.th/licensee/
นอกจากนี้ ปัจจุบันมีช่องทางสื่อสารข้อมูลที่หลากหลายและเป็นที่นิยมของประชาชนทั่วไปมากขึ้นเป็นลำดับไม่ว่าจะกระทำผ่านเว็บไซต์ หรือ social media ซึ่งเป็นช่องทางในการสื่อสารข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุนด้วย ซึ่งมีผู้แจ้งข้อมูลหรือสอบถาม ก.ล.ต. เป็นระยะ และ ก.ล.ต. พบว่ามิใช่การให้ข้อมูลโดยผู้ประกอบธุรกิจที่ ก.ล.ต. กำกับดูแล
ก.ล.ต. จึงได้รวบรวมข้อมูลมาแสดง ณ ที่นี้ เพื่อประโยชน์ต่อผู้ลงทุนเป็นการทั่วไป โดยจะได้มีการปรับปรุงให้ทันสมัยตามที่ได้รับการหารือเพิ่มเติม
รายชื่อนิติบุคคลที่มิใช่ผู้ประกอบธุรกิจภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต.
- Infinity Marketing Solutions (Thailand) Co., Ltd.
- บริษัท ฮู เทรดส์ จำกัด
- บริษัท M.B. Network
- บริษัท วีทีเอ ซิสเท็ม จำกัด
- บริษัท อี-ชาร์ดเตอร์ เมเนจเมนท์ จำกัด
- บริษัท degree10 จำกัด
- บริษัท P.T.RESEARCH CO.,LTD
- บริษัท ทีเฟ็กส์คลับ
- บริษัท สยามแกรนเดอร์ แมเนจเม้นท์ จำกัด
- บริษัท Ascot Global Trading
- บริษัท Navista Global Markets
- บริษัท เจ.อาร์.เอ. บิสสิเนส เซ็นเตอร์ จำกัด
รายชื่อ website / facebook / etc ...
- www.stock2morrow.com
- www.infinityfinancialsolutions.com
- www.whotrades.com
- www.doohoon.com
- http://th-th.facebook.com/people/ชัย-เทพหุ้นวีไอ/100000956946610
- www.vtasystem.com
- www.ectthailand.com
- www.degree10online.com
- www.kimston.com
- www.tfexclub.com
- www.facebook.com/pages/TFEXCLUB/450759881631073?ref=hl
- www.ascotfx.com
- http://standardmorgany2u.com/index.html
- http://www.facebook.com/media/set/?set=a.292972300817643.75842.287476631367210&type=1
อนึ่ง โดยที่ชื่อของนิติบุคคลแต่ละรายอาจมีความใกล้เคียงหรือคล้ายคลึงกันได้ และชื่อที่ใกล้เคียงหรือคล้ายคลึงกันอาจเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องกันก็ได้ ดังนั้น เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับนิติบุคคลตามรายชื่อดังต่อไปนี้ มีความเฉพาะเพียงพอ จึงจะมีการแสดงข้อมูลสถานที่ตั้งหรือที่ติดต่อของนิติบุคคลดังกล่าว (ถ้ามี) ไว้ด้วย
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ก.ล.ต. ได้รับเบาะแสหรือข้อร้องเรียนจากผู้ลงทุนจำนวนหนึ่งซึ่งถูกหลอกลวง โดยชักชวนให้ไปลงทุน หรือหลงเชื่อข้อมูลที่ไม่เป็นความจริงจากแหล่งข้อมูลบางแหล่ง จนต้องสูญเสียเงินลงทุนจำนวนไม่น้อย จึงขอแจ้งให้ผู้ลงทุนโปรดใช้ความระมัดระวังด้วย
INFO: www.sec.or.th
วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ (ANANDA DEVELOPMENT) เคาะราคา IPO ที่ 4.20 บ./หุ้น ขาย 28-30 พ.ย. นี้
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เปิดเผยว่า บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ได้กำหนดราคาขาย IPO ที่ 4.20 บาท/หุ้น และกำหนดวันเสนอขายในวันที่ 28-30 พ.ย.นี้
ก่อนหน้านี้ บล.บัวหลวง เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"คาดว่า จะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 7 ธ.ค. 55
บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชน จำนวน 1,333 ล้านหุ้น โดยบริษัทฯประกอบธุรกิจด้านการลงทุนโดยการถือหุ้นในบริษัทต่างๆ (Holding Company) โดยถือหุ้นในบริษัทย่อยคือ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ทู จำกัด(AD2) ซึ่งประกอบธุรกิจหลัก คือ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมติดสถานีขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และเป็นบริษัทที่สร้างรายได้หลักให้แก่บริษัทฯ
INFO: อินโฟเควสท์
ก่อนหน้านี้ บล.บัวหลวง เปิดเผยกับ"อินโฟเควสท์"คาดว่า จะเข้าเทรดในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในวันที่ 7 ธ.ค. 55
บมจ.อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จะเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนแก่ประชาชน จำนวน 1,333 ล้านหุ้น โดยบริษัทฯประกอบธุรกิจด้านการลงทุนโดยการถือหุ้นในบริษัทต่างๆ (Holding Company) โดยถือหุ้นในบริษัทย่อยคือ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ทู จำกัด(AD2) ซึ่งประกอบธุรกิจหลัก คือ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมติดสถานีขนส่งมวลชนระบบรางในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล และเป็นบริษัทที่สร้างรายได้หลักให้แก่บริษัทฯ
INFO: อินโฟเควสท์
ถือลงทุนระยะยาว : TLGF : กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเทสโก้ โลตัส รีเทล โกรท
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าเทสโก้ โลตัส รีเทล โกรท (TLGF) เป็นกองทุนรวมที่จัดตั้งขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ในลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ธุรกิจค้าปลีก ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ทั่วประเทศไทย
TLGF ได้เข้าจดทะเบียนและซื้อขาย ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2555 โดย TLGF เป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาตร์ไทย ถึง 18,408 ล้านบาท (ประมาณ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ) ทั้งนี้ ในช่วงการจัดตั้งกองทุนเป็นครั้งแรก TLGF ได้ลงทุนในศูนย์การค้าของเทสโก้ โลตัส จำนวน 17 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทั้งในแหล่งท่องเที่ยว และใจกลางเมือง
TLGF บริหารโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดย เทสโก้ โลตัส ในฐานะที่เป็นผู้บริหารศูนย์การค้าชั้นนำของประเทศไทย ได้รับหน้าที่เป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ในกองทุน
เทสโก้ โลตัส ยังเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนรายใหญ่ที่สุดของกองทุน อีกด้วย
INFO: http://www.tlgf-fund.com
TLGF ได้เข้าจดทะเบียนและซื้อขาย ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2555 โดย TLGF เป็นกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรกมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาตร์ไทย ถึง 18,408 ล้านบาท (ประมาณ 600 ล้านเหรียญสหรัฐ) ทั้งนี้ ในช่วงการจัดตั้งกองทุนเป็นครั้งแรก TLGF ได้ลงทุนในศูนย์การค้าของเทสโก้ โลตัส จำนวน 17 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ทั้งในแหล่งท่องเที่ยว และใจกลางเมือง
TLGF บริหารโดยบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย จำกัด (มหาชน) โดย เทสโก้ โลตัส ในฐานะที่เป็นผู้บริหารศูนย์การค้าชั้นนำของประเทศไทย ได้รับหน้าที่เป็นผู้บริหารอสังหาริมทรัพย์ในกองทุน
เทสโก้ โลตัส ยังเป็นผู้ถือหน่วยลงทุนรายใหญ่ที่สุดของกองทุน อีกด้วย
INFO: http://www.tlgf-fund.com
สรุปข่าว NEWS Center พร้อมความคิดเห็นจากนักวิเคราะห์ ประจำวันที่ 27 พฤศจิกายน 2555
JMT' เสือติดปีกแรงทะลุ 6 บ. JMART อู้ฟู่ลูกหนุนกำไรเด้ง (ทันหุ้น)
JMT ติดเทอร์โบลงกระดาน SET วันนี้ ด้านผู้บริหาร มั่นใจราคายืนเหนือไอพีโอระดับ 4 บาท เหตุพื้นฐานแกร่ง-งบก้าวกระโดด พร้อมย้ำชัดปีนี้รายได้ตามนัด 390 ล้านบาท อานิสงส์ธุรกิจบริหารหนี้ขยายตัว ฟากโบรกเกอร์ส่องเป้าหมาย 6.48 บาท แถมฟันธง JMART รับอานิสงส์ลูกหนุนกำไรสะพรั่ง
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากบทวิเคราะห์ ฉบับวันนี้ 27 พ.ย. 55 จากลิงก์ http://kelive2/
CPN กำไรปีนี้ทำสถิติสูงสุด ลุยเปิดสาขาลำปาง 30 พ.ย.นี้ (ทันหุ้น)
CPN กำไรทั้งปี 2555 มีแนวโน้มทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 2,843 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 632% จากปีก่อน จากการขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง 30 พฤศจิกายนนี้ลุยเปิดสาขาใหม่ที่ลำปาง
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากบทวิเคราะห์ ฉบับเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 55 จากลิงก์ http://kelive2/
GRAND เร่งล้างขาดทุน 920 ล. ปั๊มรายได้โครงการไฮด์ 70-80% (ทันหุ้น)
GRAND เล็งปีหน้าล้างขาดทุนสะสมหมดเกลี้ยง 920 ล้านบาท อานิสงส์รับรู้รายได้ "ไฮด์ สุขุมวิท" เข้าพอร์ตเต็มๆ 70-80% ล่าสุดโชว์ยอดจองแล้ว 100% ส่วนแผนเทกโอเวอร์คืบ ส่งสัญญาณไตรมาส 4/2555 มีทิศทางดีขึ้น แต่มั่นใจรายได้ทั้งปี 2555 พุ่งพรวดจาก ปี 2554 ที่ 889.17 ล้านบาท
BCH ตั้งเป้ารายได้โตไม่ต่ำ25% ลุยเจาะตลาดภาคเหนือรับ AEC ดีมานด์พุ่ง (ข่าวหุ้น)
BCH ตั้งเป้าปี 56-57 รายได้โตไม่ต่ำกว่า 25% ทุ่มงบลงทุนกว่า 600 ล้านบาท เจาะตลาดภาคเหนือ เน้นเชียงราย รับ AEC คาดดีมานด์พุ่ง เชื่อ 5 ปีข้างหน้าเติบโตสูง พร้อมคาดต้นปีหน้าออกหุ้นกู้ 1,500 ล้านบาท เพื่อรีไฟแนนซ์หนี้
PYLON มั่นใจโค้งสุดท้ายเด่น อานิสงส์งานชุก-มาร์จิ้นสูงขึ้น (ข่าวหุ้น)
“ไพลอน" มั่นใจไตรมาสสุดท้ายโชว์ผลงานโดดเด่น หลังงานเข้ามือชุก แถมทยอยรับรู้รายได้จากงานใหม่ที่มาร์จิ้นดีขึ้น หมดปัญหาบริษัทลูก หนุนรายได้ปีนี้ตามเป้า 1,200 ล้านบาท
EPCO ทุ่มงบลงทุน490ล้าน ซื้อโรงไฟฟ้าแห่ง 2 ที่ลพบุรี เสริมรายได้อนาคต (ข่าวหุ้น)
บอร์ด "โรงพิมพ์ตะวันออก" ไฟเขียวทุ่มงบลงทุน 490 ล้านบาท ซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งที่ 2 กำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดลพบุรี หวังช่วยเสริมรายได้ในอนาคต นอกเหนือจากธุรกิจสิ่งพิมพ์ หลังจ่ายไฟโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์แห่งแรกที่กาญจนบุรีไปแล้วเมื่อ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา เริ่มรับรายรู้รายได้ในไตรมาส 4/55 นี้ กว่า 50 ล้านบาท
'สหวิริยา' มั่นใจราคาเหล็กขาขึ้นปีหน้าพลิกกำไร (กรุงเทพธุรกิจ)
นายวิน วิริยะประไพกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรีย์ (SSI) เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาเหล็กในตลาดโลกได้เริ่มปรับขึ้นแล้ว โดยในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาได้ปรับขึ้นไปประมาณ 10% จึงประเมินราคาเหล็กได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจากนี้จะเป็น ช่วงขาขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 ของบริษัทจะขาดทุนลดลง และเริ่มกลับมาทำกำไรได้ในช่วงไตรมาส 2 ปีหน้าเป็นต้นไป
'แอร์โรว์' แต่งตัวเข้าเทรดสิ้นปีเจเอ็มทีคาดเทรดวันนี้พ้นจอง (กรุงเทพธุรกิจ)
แอร์โรว์ ซินดิเคท เตรียมเข้าเทรดปลายเดือนธ.ค. นำเงินสร้างโรงงานยขยายกำลังผลิต 25% เชื่อนักลงทุนตอบรับดีเหตุความเสี่ยงน้อย-โตตามกลุ่มรับเหมาก่อสร้างพื้นฐานและอสังหา ส่วน ปีหน้าวางเป้ารายได้แตะ 1,000 ล้านบาท "เจเอ็มที" คาดเทรดวันนี้เหนือจอง ชูพื้นฐานแกร่ง-โตตามการขยายสินเชื่อรายย่อย ด้านบิวตี้ คอมมูนิตี้เคาะไอพีโอ 8 บาท เตรียมเทรด 12 ธ.ค. นี้
EARTH ทุ่มพันล้านร่วมทุนทำเหมืองในพม่า (ผู้จัดการรายวัน)
"เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ" ทุ่มงบ 1,000 ล้านบาท ร่วมทุน "อีสท์สตาร์" เปิดเหมืองถ่านหินในประเทศพม่า เผยมีปริมาณสำรองถ่านหิน 40 ล้านตัน บนพื้นที่ 1,262 ไร่ คาดเริ่มดำเนินการขุดได้ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2556 เป็นต้นไป จากนั้นพร้อมลำเลียงป้อนให้กับลูกค้าในไตรมาส 2 ทันที คาดว่าทยอยรับรู้รายได้ครึ่งปีหลัง "ขจรพงศ์ คำดี" ระบุเตรียมศึกษาเส้นทางออกสู่ทะเลด้านตะวันตกของพม่าหวังเจาะลูกค้าอินเดียต่อภายใน 2 ปีข้างหน้า
ปตท.-บางจากอั้นไม่ขึ้นราคาดีเซล'รอลุ้นประชุมกบง.เคาะตรึงราคา' (ASTV ผู้จัดการรายวัน)
สนพ.เกาะติดราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ใกล้ชิดก่อนชี้ชะตาเรียกถก "กบง." เพื่อดึงเงินกองทุนน้ำมันฯตรึงดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรหลังค่าการตลาดลดวูบเหลือแค่ 1 บาทต่อลิตร "ปตท.บางจาก" ยังกัดฟันตรึงรอกบง.เคาะ
INFO: maybank-ke.co.th
JMT ติดเทอร์โบลงกระดาน SET วันนี้ ด้านผู้บริหาร มั่นใจราคายืนเหนือไอพีโอระดับ 4 บาท เหตุพื้นฐานแกร่ง-งบก้าวกระโดด พร้อมย้ำชัดปีนี้รายได้ตามนัด 390 ล้านบาท อานิสงส์ธุรกิจบริหารหนี้ขยายตัว ฟากโบรกเกอร์ส่องเป้าหมาย 6.48 บาท แถมฟันธง JMART รับอานิสงส์ลูกหนุนกำไรสะพรั่ง
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากบทวิเคราะห์ ฉบับวันนี้ 27 พ.ย. 55 จากลิงก์ http://kelive2/
CPN กำไรปีนี้ทำสถิติสูงสุด ลุยเปิดสาขาลำปาง 30 พ.ย.นี้ (ทันหุ้น)
CPN กำไรทั้งปี 2555 มีแนวโน้มทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 2,843 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 632% จากปีก่อน จากการขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง 30 พฤศจิกายนนี้ลุยเปิดสาขาใหม่ที่ลำปาง
อ่านข้อมูลเพิ่มเติมจากบทวิเคราะห์ ฉบับเมื่อวันที่ 22 พ.ย. 55 จากลิงก์ http://kelive2/
GRAND เร่งล้างขาดทุน 920 ล. ปั๊มรายได้โครงการไฮด์ 70-80% (ทันหุ้น)
GRAND เล็งปีหน้าล้างขาดทุนสะสมหมดเกลี้ยง 920 ล้านบาท อานิสงส์รับรู้รายได้ "ไฮด์ สุขุมวิท" เข้าพอร์ตเต็มๆ 70-80% ล่าสุดโชว์ยอดจองแล้ว 100% ส่วนแผนเทกโอเวอร์คืบ ส่งสัญญาณไตรมาส 4/2555 มีทิศทางดีขึ้น แต่มั่นใจรายได้ทั้งปี 2555 พุ่งพรวดจาก ปี 2554 ที่ 889.17 ล้านบาท
BCH ตั้งเป้ารายได้โตไม่ต่ำ25% ลุยเจาะตลาดภาคเหนือรับ AEC ดีมานด์พุ่ง (ข่าวหุ้น)
BCH ตั้งเป้าปี 56-57 รายได้โตไม่ต่ำกว่า 25% ทุ่มงบลงทุนกว่า 600 ล้านบาท เจาะตลาดภาคเหนือ เน้นเชียงราย รับ AEC คาดดีมานด์พุ่ง เชื่อ 5 ปีข้างหน้าเติบโตสูง พร้อมคาดต้นปีหน้าออกหุ้นกู้ 1,500 ล้านบาท เพื่อรีไฟแนนซ์หนี้
PYLON มั่นใจโค้งสุดท้ายเด่น อานิสงส์งานชุก-มาร์จิ้นสูงขึ้น (ข่าวหุ้น)
“ไพลอน" มั่นใจไตรมาสสุดท้ายโชว์ผลงานโดดเด่น หลังงานเข้ามือชุก แถมทยอยรับรู้รายได้จากงานใหม่ที่มาร์จิ้นดีขึ้น หมดปัญหาบริษัทลูก หนุนรายได้ปีนี้ตามเป้า 1,200 ล้านบาท
EPCO ทุ่มงบลงทุน490ล้าน ซื้อโรงไฟฟ้าแห่ง 2 ที่ลพบุรี เสริมรายได้อนาคต (ข่าวหุ้น)
บอร์ด "โรงพิมพ์ตะวันออก" ไฟเขียวทุ่มงบลงทุน 490 ล้านบาท ซื้อโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แห่งที่ 2 กำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ ที่จังหวัดลพบุรี หวังช่วยเสริมรายได้ในอนาคต นอกเหนือจากธุรกิจสิ่งพิมพ์ หลังจ่ายไฟโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์แห่งแรกที่กาญจนบุรีไปแล้วเมื่อ 15 ต.ค.ที่ผ่านมา เริ่มรับรายรู้รายได้ในไตรมาส 4/55 นี้ กว่า 50 ล้านบาท
'สหวิริยา' มั่นใจราคาเหล็กขาขึ้นปีหน้าพลิกกำไร (กรุงเทพธุรกิจ)
นายวิน วิริยะประไพกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สหวิริยาสตีล อินดัสตรีย์ (SSI) เปิดเผยว่า ขณะนี้ราคาเหล็กในตลาดโลกได้เริ่มปรับขึ้นแล้ว โดยในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ราคาได้ปรับขึ้นไปประมาณ 10% จึงประเมินราคาเหล็กได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจากนี้จะเป็น ช่วงขาขึ้น ส่งผลให้แนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 4 ของบริษัทจะขาดทุนลดลง และเริ่มกลับมาทำกำไรได้ในช่วงไตรมาส 2 ปีหน้าเป็นต้นไป
'แอร์โรว์' แต่งตัวเข้าเทรดสิ้นปีเจเอ็มทีคาดเทรดวันนี้พ้นจอง (กรุงเทพธุรกิจ)
แอร์โรว์ ซินดิเคท เตรียมเข้าเทรดปลายเดือนธ.ค. นำเงินสร้างโรงงานยขยายกำลังผลิต 25% เชื่อนักลงทุนตอบรับดีเหตุความเสี่ยงน้อย-โตตามกลุ่มรับเหมาก่อสร้างพื้นฐานและอสังหา ส่วน ปีหน้าวางเป้ารายได้แตะ 1,000 ล้านบาท "เจเอ็มที" คาดเทรดวันนี้เหนือจอง ชูพื้นฐานแกร่ง-โตตามการขยายสินเชื่อรายย่อย ด้านบิวตี้ คอมมูนิตี้เคาะไอพีโอ 8 บาท เตรียมเทรด 12 ธ.ค. นี้
EARTH ทุ่มพันล้านร่วมทุนทำเหมืองในพม่า (ผู้จัดการรายวัน)
"เอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ" ทุ่มงบ 1,000 ล้านบาท ร่วมทุน "อีสท์สตาร์" เปิดเหมืองถ่านหินในประเทศพม่า เผยมีปริมาณสำรองถ่านหิน 40 ล้านตัน บนพื้นที่ 1,262 ไร่ คาดเริ่มดำเนินการขุดได้ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2556 เป็นต้นไป จากนั้นพร้อมลำเลียงป้อนให้กับลูกค้าในไตรมาส 2 ทันที คาดว่าทยอยรับรู้รายได้ครึ่งปีหลัง "ขจรพงศ์ คำดี" ระบุเตรียมศึกษาเส้นทางออกสู่ทะเลด้านตะวันตกของพม่าหวังเจาะลูกค้าอินเดียต่อภายใน 2 ปีข้างหน้า
ปตท.-บางจากอั้นไม่ขึ้นราคาดีเซล'รอลุ้นประชุมกบง.เคาะตรึงราคา' (ASTV ผู้จัดการรายวัน)
สนพ.เกาะติดราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์ใกล้ชิดก่อนชี้ชะตาเรียกถก "กบง." เพื่อดึงเงินกองทุนน้ำมันฯตรึงดีเซลไม่เกิน 30 บาทต่อลิตรหลังค่าการตลาดลดวูบเหลือแค่ 1 บาทต่อลิตร "ปตท.บางจาก" ยังกัดฟันตรึงรอกบง.เคาะ
INFO: maybank-ke.co.th
หยิบเงินหยิบทองวันนี้ : 21112012
กลยุทธ์วันนี้
|
1295/1300
| |
ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้เปิดกระโดดสู่ 1290 จุดและแกว่งตัวบริเวณดังกล่าวตลอดชั่วโมงการซื้อขาย ปิดตลาด SET INDEX อยู่ที่ 1290.85 จุด บวก 9.15 จุด มูลค่าการซื้อขาย 27,169 ล้านบาท
ต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 อีก 773 ล้านบาท แต่ยังคง Long ใน Index Futures เป็นวันที่ 3อีก 356 สัญญา และซื้อสุทธิในตลาดตราสารหนี้ 163 ล้านบาท
ทิศทาง SET INDEX วันนี้คาดว่าจะแกว่งตัวระหว่าง 1,285 – 1,295 จุด และมีโอกาสที่จะขยับขึ้นทดสอบแนว 1,300 จุดระหว่างชั่วโมงการซื้อขายได้ หากเกิดโมเมนตัมเชิงบวก ขณะที่การประชุมรมว.คลังอียูต่อกรณีกรีซ ผลออกมาเป็นบวก โดยมีการวางกรอบการช่วยเหลือเพิ่มเติมแก่กรีซมากขึ้น ทั้งในแง่ของการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่กรีซ การยืดเวลาการชำระหนี้ รวมถึงการเสนอให้ ECB เข้าซื้อพันธบัตรกรีซ เพื่อลดต้นทุนทางการเงินทางอ้อมให้แก่กรีซ กลายเป็นประเด็นบวกต่อภาพการลงทุนในเอเชียเช้าวันนี้ ค่าเงินยูโรพลิกกลับมาแข็งค่าทะลุ US$1.30/euro เมื่อข่าวออกเช่นกัน
ขณะที่หุ้นที่เกี่ยวข้องกับ MSCI จะยังแข็งแกร่งเมื่อเทียบกับภาพรวม SET INDEX ซึ่งนับตั้งแต่ประกาศวันที่15 พ.ย. ถึงวานนี้ หุ้น LOXLEY ขึ้นมาน้อยที่สุด
MBKET แนะนำให้ “ถือพอร์ต 65% และเงินสด 35%” เพื่อรอขายทำกำไรบริเวณ 1,300 จุดหรือสูงกว่า
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้: MBKET แนะนำ “ถือพอร์ต” และทยอยสะสม BBL และ “เก็งกำไร” LOXLEY
กลยุทธ์ทางเลือกวันนี้: MBKET แนะนำ “พอร์ตว่างรอจังหวะเปิด Long ช่วงย่อ” Stop loss < 870 จุด หรือทะลุ 877 จุด เปิด Long ตาม มีเป้าหมายรอทำกำไร 877-886 จุด
| ||
Portfolio
|
HOLD: VNT/AMATA/ MAJOR/ CPN/ SPCG/ SMT/ BTS/ PJW/ IRPC/ TPIPL/ ROJNA/ RCI/ MK/ INET/ BCP/ BBL/KBANK/ KTB/ INTUCH/PTTGC/ QH/ MFEC/ LOXLEY
Accumulative Buy: BBL
Speculative Buy: LOXLEY
| |
Technical View
|
แนวรับ 1280 +/- และ 1265 +/- จุด แนวต้าน 1300-1305 และ 1315 +/- จุด หาก SETรักษาระดับเคลื่อนไหวอยู่เหนือ 1290 ก็มีแนวโน้มจะช่วยให้กลุ่มเส้นค่าเฉลี่ยกลับมาเรียงตัวในทิศทางเชิงบวก ซึ่งจะเป็นสัญญาณบวกต่อเนื่องในการไต่ระดับขึ้นได้ต่อ
| |
INFO: maybank-ke.co.th
TCAP - ซื้อ KELIVE Alert_TCAP : ประกาศซื้อหุ้นคืน ส่งผลดีต่อ EPS ในอนาคต
KELIVE Alert_TCAP : ประกาศซื้อหุ้นคืน ส่งผลดีต่อ EPS ในอนาคต
TCAP ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน ในวงเงินไม่เกิน 3.4 พันล้านบาท โดยมีจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 127.8 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด โดยจะซื้อคืนในตลาดฯ เรามองประเด็นดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น TCAP ซึ่งเรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 47.5 บาท
ความเห็นและคำแนะนำ
TCAP ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน ในวงเงินไม่เกิน 3.4 พันล้านบาท โดยมีจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 127.8 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด โดยจะซื้อคืนในตลาดฯ โดยราคาหุ้นซื้อคืนจะไม่เกิน 1.1 เท่าของ Book Value ของงบการเงินที่ประกาศล่าสุด (Book Value ณ 3Q55 อยู่ที่ 32.33 บาท/หุ้น) และไม่เกินกว่า 115% ของราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้านั้น โดยกำหนดระยะเวลาที่จะซื้อคืน ตั้งแต่ 11 ธ.ค. 55 – 10 มิ.ย. 56
โดยก่อนหน้านี้ TCAP ได้เคยมีโครงการซื้อคืนหุ้นมาแล้วในช่วงปี 2551-52 โดยซื้อคืนหุ้นไปจำนวน 55.3 ล้านหุ้น (คิดเป็น 4.2% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้ว) และใช้เงินซื้อคืนจำนวน 387 ล้านบาท และได้มีการลดทุนเรียกชำระแล้วด้วยวิธีตัดหุ้นซื้อคืนจำนวนดังกล่าวในช่วงในเดือน มิ.ย. 55 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ EPS และ BVpS ของ TCAP เพิ่มสูงขึ้น
เรามีมุมมองเป็นบวกต่อประเด็นดังกล่าว เนื่องจากการซื้อหุ้นคืนจะส่งผลให้ EPS และ BVpS ของ TCAP เพิ่มขึ้น โดยหากประเมินในเบื้องต้นโดยใช้สมมติฐานราคาหุ้นซื้อคืนเฉลี่ยที่ราคาปิดของหุ้น TCAP เมื่อวานนี้ ที่ 33.75 บาท และใช้วงเงินซื้อคืนเต็มจำนวน 3.4 พันล้านบาท จะได้หุ้นซื้อคืนจำนวน 100.7 ล้านหุ้น คิดเป็น 7.9% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด
ในด้านปัจจัยพื้นฐานเรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 47.5 บาท โดยเรามองว่าการขาย TLIFE ออกไปนอกจากจะทำให้ TCAP สามารถรับรู้กำไรพิเศษหลังหักภาษีระดับ 6.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 5.16 บาท/หุ้น (รับรู้ใน 1Q56) แล้ว ยังจะช่วยลดความกังวลเรื่องการเพิ่มทุนของ TCAP และ Coverage Ratio ที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งเป็นประเด็นที่กดดัน Valuation ของ TCAP ในอดีต ขณะที่Valuation ปัจจุบันของ TCAP ยังคงถูกที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซื้อขายที่ระดับ 0.82 เท่า PBV ปี 56, 7.0 เท่า Norm PER และ dividend yield ระดับ 4-5%
INFO: maybank-ke.co.th
TCAP ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน ในวงเงินไม่เกิน 3.4 พันล้านบาท โดยมีจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 127.8 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด โดยจะซื้อคืนในตลาดฯ เรามองประเด็นดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกต่อราคาหุ้น TCAP ซึ่งเรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 47.5 บาท
ความเห็นและคำแนะนำ
TCAP ประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน ในวงเงินไม่เกิน 3.4 พันล้านบาท โดยมีจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 127.8 ล้านหุ้น คิดเป็นไม่เกิน 10% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด โดยจะซื้อคืนในตลาดฯ โดยราคาหุ้นซื้อคืนจะไม่เกิน 1.1 เท่าของ Book Value ของงบการเงินที่ประกาศล่าสุด (Book Value ณ 3Q55 อยู่ที่ 32.33 บาท/หุ้น) และไม่เกินกว่า 115% ของราคาปิดของหุ้นเฉลี่ย 5 วันทำการซื้อขายก่อนหน้านั้น โดยกำหนดระยะเวลาที่จะซื้อคืน ตั้งแต่ 11 ธ.ค. 55 – 10 มิ.ย. 56
โดยก่อนหน้านี้ TCAP ได้เคยมีโครงการซื้อคืนหุ้นมาแล้วในช่วงปี 2551-52 โดยซื้อคืนหุ้นไปจำนวน 55.3 ล้านหุ้น (คิดเป็น 4.2% ของหุ้นที่จำหน่ายแล้ว) และใช้เงินซื้อคืนจำนวน 387 ล้านบาท และได้มีการลดทุนเรียกชำระแล้วด้วยวิธีตัดหุ้นซื้อคืนจำนวนดังกล่าวในช่วงในเดือน มิ.ย. 55 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ EPS และ BVpS ของ TCAP เพิ่มสูงขึ้น
เรามีมุมมองเป็นบวกต่อประเด็นดังกล่าว เนื่องจากการซื้อหุ้นคืนจะส่งผลให้ EPS และ BVpS ของ TCAP เพิ่มขึ้น โดยหากประเมินในเบื้องต้นโดยใช้สมมติฐานราคาหุ้นซื้อคืนเฉลี่ยที่ราคาปิดของหุ้น TCAP เมื่อวานนี้ ที่ 33.75 บาท และใช้วงเงินซื้อคืนเต็มจำนวน 3.4 พันล้านบาท จะได้หุ้นซื้อคืนจำนวน 100.7 ล้านหุ้น คิดเป็น 7.9% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายแล้วทั้งหมด
ในด้านปัจจัยพื้นฐานเรายังคงคำแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 47.5 บาท โดยเรามองว่าการขาย TLIFE ออกไปนอกจากจะทำให้ TCAP สามารถรับรู้กำไรพิเศษหลังหักภาษีระดับ 6.6 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 5.16 บาท/หุ้น (รับรู้ใน 1Q56) แล้ว ยังจะช่วยลดความกังวลเรื่องการเพิ่มทุนของ TCAP และ Coverage Ratio ที่ค่อนข้างต่ำ ซึ่งเป็นประเด็นที่กดดัน Valuation ของ TCAP ในอดีต ขณะที่Valuation ปัจจุบันของ TCAP ยังคงถูกที่สุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซื้อขายที่ระดับ 0.82 เท่า PBV ปี 56, 7.0 เท่า Norm PER และ dividend yield ระดับ 4-5%
INFO: maybank-ke.co.th
หุ้นรายตัว : 26112012
| ||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||||
ลงทุนหุ้นไทย ช่วงตลาดปรับฐาน เพื่อโอกาสสร้างกำไร
โดยกลุ่มกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์การลงทุน บลจ.แอสเซท พลัส จำกัด
แม้ว่าตลาดหุ้นไทยในปี 2556 จะยังมีแนวโน้มเคลื่อนไหวผันผวน จากความกังวลต่างๆ อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก เนื่องจาก การปรับลดการใช้จ่ายภาครัฐของประเทศสหรัฐฯ รวมถึงทิศทางการแก้ไขปัญหาหนี้สาธารณะในยุโรป และทิศทางเศรษฐกิจของยุโรปที่ชะลอตัวลง แต่การลงทุนใน “หุ้น” ยังคงอยู่ในความสนใจของผู้ลงทุนอย่างต่อเนื่อง
โดยในเดือน พ.ย. นี้ นักวิเคราะห์จากหลายสำนักยังคาดการณ์ว่า SET Index อาจมีการปรับฐานได้เนื่องจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น มุมมองการเติบโตของเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง รวมถึงความกังวลในเรื่องข้อจำกัดการคลังในสหรัฐฯ (US fiscal cliff) โดยนักวิเคราะห์ต่าง ๆ ประเมินว่า นักลงทุนอาจมีการขายทำกำไรบางส่วนก่อนที่ดัชนีจะเคลื่อนตัวออกด้านข้าง (Sideway) ในกรอบ 1,265 - 1,320 จุด ในลักษณะสร้างฐานเพื่อรอความชัดเจนจากปัจจัยต่าง ๆ และเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ลงทุน
แม้ว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวลดลง แต่บริษัทฯ ประเมินว่า ถือเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าเลือกสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีในราคาที่เหมาะสม โดยประเมินระดับดัชนีที่เหมาะสมในการเข้าลงทุนที่ระดับ 1,280 จุด เนื่องจาก ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนปี 2555 ซึ่งคาดว่าจะขยายตัวอยู่ประมาณ 20% และ 15% ในปี 2556 โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของการใช้จ่ายภายในประเทศ และนโยบายการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลลงเหลือ 23% ในปี 2555 และเหลือ 20% ในปี 2556 ซึ่งทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวเพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตราการจ่ายเงินปันผลยังอยู่ในระดับสูงกว่า 4% และแนวโน้มการลงทุนในภูมิภาคเอเชียรวมถึงประเทศไทยอยู่ในทิศทางทีดี จากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ ซึ่งจะช่วยดึงดูดเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศได้
สำหรับผู้ลงทุนที่ต้องการลงทุนในหุ้น และมีเป้าหมายการลงทุนทีชัดเจน โดยไม่เทียบกับการปรับตัวของ SET Index ขอแนะนำให้ลงทุนในกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นไทย ที่มีเป้าหมายการสร้างผลตอบแทนภายในระยะเวลาที่กำหนด เช่น กองทุนเปิดแอสเซทพลัสไพร์ม 3 (ASP-PRIME 3) ซึ่งเป็นกองทุนผสมที่มีความยืดหยุ่นในการปรับสัดส่วนตราสารหนี้และตราสารทุนได้ 0-100% โดยกองทุนมีนโยบายลงทุนในหุ้นไทย และมีเป้าหมายสร้างผลตอบแทน 9% ใน 1 ปี โดยกองทุน ASP-PRIME 3 จะเน้นลงทุนในหุ้นขนาดกลาง และขนาดเล็ก ซึ่งคาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่ดี โดยในช่วง 6 - 12 เดือน ข้างหน้ากลุ่มธุรกิจที่บริษัทฯ ให้ความสนใจให้น้ำหนักการลงทุน คือ หุ้นกลุ่มสื่อสาร หุ้นอสังหาริมทรัพย์ และหุ้นที่มีแนวโน้มการเติบโตที่ต่อเนื่อง รวมถึงหุ้นที่ผลประกอบการจะมีการฟื้นตัว
ทั้งนี้ กองทุน ASP-PRIME 3 จะเพิ่มโอกาสให้ผู้ลงทุนได้รับกระแสเงินสดใช้ระหว่างทาง ด้วยการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติ ครั้งแรก เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนผ่าน 10.50 บาท และรับซื้อคืนหน่วยลงทุนอัตโนมัติทั้งหมด และเลิกกองทุน เมื่อมูลค่าหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้นผ่าน 10.90 บาท หรือ เมื่อครบ 1 ปี แล้วแต่เหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้นก่อน
ทั้งนี้ กองทุน ASP-PRIME 3 จะเปิดเสนอขายครั้งแรก และครั้งเดียว ระหว่างวันที่ 19-28 พฤศจิกายน นี้ ผู้ลงทุนสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Asset Plus Call Center เบอร์โทรศัพท์ 02-672-1111 ได้ทุกวันทำการ
INFO: http://manager.co.th/MutualFund/ViewNews.aspx?NewsID=9550000144259
TTCL - BT 29.75 - ซื้อ โรงไฟฟ้า.....จุดเริ่มต้นของมูลค่าเพิ่มระยะยาว
โรงไฟฟ้า.....จุดเริ่มต้นของมูลค่าเพิ่มระยะยาว
ประเด็นการลงทุน : หลังจากที่ TTCL ประกาศข้อตกลงอย่างเป็นทางการของการลงทุนโรงไฟฟ้าในพม่า เรามองเห็นถึงมูลค่าเพิ่มในระยะยาวที่บริษัทจะได้รับอีกประมาณ 4 บาท/หุ้น ขณะที่ธุรกิจหลักเรายังคงเชื่อมั่นในการเติบโตของบริษัทจาก 1) Backlog ในมือที่แข็งแกร่งถึง 21,000 ล้านบาท 2) Bidding Proposal ในมือ 74,000 ล้านบาท ซึงเราคาด TTCL มีโอกาสได้งานใหม่กว่า 20,000 ล้านบาทใน 12 เดือนข้างหน้า และ 3) ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้านวนครในปี 2557 เราคงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมายที่ 36.00 บาท/หุ้น ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 29.00 บาท/หุ้น จากสมมติฐานของ PER ที่ 18 เท่าสำหรับธุรกิจหลัก
งานโรงไฟฟ้าในพม่ามีความชัดเจนมากขึ้นเริ่มสร้างรายได้ 3Q56 : หลังจากที่ TTCL ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงเพื่อความเข้าใจ (MOU) กับกระทรวงพลังงานไฟฟฟ้าสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียร์มาร์ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2555 ที่ผ่านมา ล่าสุด TTCL ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการลงทุนและก่อสร้างโรงฟ้าขนาดไม่น้อยกว่า 100 เมกะวัตต์ โดยได้เซ็นบันทึกสัญญาเป็น MOA เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ (บทวิเคราะห์วันที่ 3 ต.ค. 55) เราได้รวมมูลค่างานก่อสร้างของโรงฟ้าแห่งนี้ไว้ที่ 4,500 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 เฟส โดยเฟสที่ 1 ขนาดประมาณ 50-60 เมกะวตต์จะสร้างเสร็จและเริ่มสร้างรายได้ใน 2Q56 ส่วนเฟสที่ 2 ขนาด 50-40 เมกะวัตต์จะสร้างเสร็จ 3Q57
มูลค่าเพิ่มจากโรงไฟฟ้า 4 บาท/หุ้น : บนสมมุติฐานของกำลังการผลิตที่ 100 เมกะวัตต์ IRR 17% (DCF, WACC 6.4%) เราได้มูลค่าเพิ่มของธุรกิจไฟฟ้าที่พม่าเท่ากับ 4 บาท/หุ้น นอกจากนี้เรา TTCL ยังมีส่วนแบ่งกำไรจาก 2 โรงไฟฟ้าคือ สยาม โซล่าร์ พาวเวอร์ส่วนแบ่งประมาณ 10–15 ล้านบาท/ปีและโรงไฟฟ้านวนคร (NNE) ขนาด 110 เมกะวัตต์คาดจะเริ่มผลิต กระแสไฟฟ้าได้ช่วงปลาย 1Q56 เราประเมินส่วนแบ่งกำไร ประมาณ 60-70 ล้านบาท/ปี ดังนั้นในปี 2557 TTCL จะมีส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจโรงฟ้าประมาณ 2 แห่งรวม 70 – 85 ล้านบาท/ปี
Bidding Proposal แข็งแกร่งโอกาสได้งานใหม่ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท : ณ สิ้น 3Q55 TTCL มี Bidding Proposal ในมือกว่า 74,000 ล้านบาท (สัดส่วนในประเทศ : ต่างประเทศ เท่ากับ 34 : 66) ซึ่งรวมงานในประเทศกาตาร์อยู่ในนี้ด้วยและหากคิดอัตราความสำเร็จของการได้งานใหม่ที่ 1 ใน 3 เราคาด TTCL มีโอกาสการชนะงานใหม่เพิ่มไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท ในช่วง12 เดือนข้างหน้า โดยคาดจะเป็นงานในกาตาร์ 7,750 ล้านบาทและงานโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในประเทศประมาณ 10,000 ล้านบาทซึ่งจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของ Backlog ในอนาคต
Backlog แข็งแกร่งต่อยอดการเติบโตไม่ต่ำกว่า 2 – 3 ปี ปรับเพิ่มประมาณการปี 2556 สะท้อนงานใหม่: TTCL มี Backlog ในมือซึ่งรวมงานโรงฟ้าที่พม่าแล้วเท่ากับ 21,000 ล้านบาท และหากมีการประกาศงานอย่างเป็นทางการจากกาตาร์จะทำให้ Backlog ในมือปรับเพิ่มขึ้นทันทีเป็น 29,000 ล้านบาท สำหรับประมาณการผลประกอบการเราคาดปี 2555 ที่รายได้ 12,120 ล้านบาท (+36% yoy) ขณะที่กำไรสุทธิคาดที่ 503 ล้านบาท (+25% YoY) โดยทั้งรายได้และกำไรสุทธิของ 9M55 คิดเป็นสัดส่วน 68% ของประมาณการของเราในปี 2555 และในปี 2556 เราปรับเพิ่มประมาณการรายได้ 7% เป็นเท่ากับ 19,776 ล้านบาทเพื่อให้สะท้อนกับงานใหม่ขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะได้รับ ซึ่งหากเรารวม Backlog ที่จะยกข้ามไปจากปีนี้ งานกาตาร์ และงานโรงไฟฟ้าในประเทศเข้าด้วยกันจะทำให้ TTCL มี Secured Revenue ของปี 2556 เท่ากับ 85% และเราคาดกำไรสุทธิที่เท่ากับ 804 ล้านบาท (+60% YoY) และเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 5.2% อย่างไรก็ตาม Downside ของประมาณการในปี 2556 จะอยู่ที่ระยะเวลาการบันทึกรายได้จะต้องไม่ล่าช้ากว่าที่เราคาดไว้โดยเราได้เผื่อรายได้จากงานใหม่ไว้ที่ 3,000 ล้านบาท (15% ของประมาณการปี 2556)
แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายปี 2556 ปรับเพิ่มเป็นเท่ากับ 36.00 : เรายังคงชอบ TTCL และคงคำแนะนำ ซื้อ โดยราคาเป้าหมายใหม่เท่ากับ 36.00 บาท/หุ้นจากการรวมมูลค่าจากโรงไฟฟ้าไฟฟ้า 4 บาท/หุ้นเข้ากับมูลค่าพื้นฐานที่ 32.00 บาท/หุ้น (ปรับเพิ่มขึ้นจาก 29.00 บาท/หุ้น) จากการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมด้วยวิธี PER ที่ 18 เท่า
INFO: maybank-ke.co.th
ประเด็นการลงทุน : หลังจากที่ TTCL ประกาศข้อตกลงอย่างเป็นทางการของการลงทุนโรงไฟฟ้าในพม่า เรามองเห็นถึงมูลค่าเพิ่มในระยะยาวที่บริษัทจะได้รับอีกประมาณ 4 บาท/หุ้น ขณะที่ธุรกิจหลักเรายังคงเชื่อมั่นในการเติบโตของบริษัทจาก 1) Backlog ในมือที่แข็งแกร่งถึง 21,000 ล้านบาท 2) Bidding Proposal ในมือ 74,000 ล้านบาท ซึงเราคาด TTCL มีโอกาสได้งานใหม่กว่า 20,000 ล้านบาทใน 12 เดือนข้างหน้า และ 3) ส่วนแบ่งกำไรจากโรงไฟฟ้านวนครในปี 2557 เราคงคำแนะนำ ซื้อ ด้วยราคาเป้าหมายที่ 36.00 บาท/หุ้น ปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 29.00 บาท/หุ้น จากสมมติฐานของ PER ที่ 18 เท่าสำหรับธุรกิจหลัก
งานโรงไฟฟ้าในพม่ามีความชัดเจนมากขึ้นเริ่มสร้างรายได้ 3Q56 : หลังจากที่ TTCL ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงเพื่อความเข้าใจ (MOU) กับกระทรวงพลังงานไฟฟฟ้าสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียร์มาร์ เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2555 ที่ผ่านมา ล่าสุด TTCL ได้ข้อสรุปเกี่ยวกับการลงทุนและก่อสร้างโรงฟ้าขนาดไม่น้อยกว่า 100 เมกะวัตต์ โดยได้เซ็นบันทึกสัญญาเป็น MOA เรียบร้อยแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้ (บทวิเคราะห์วันที่ 3 ต.ค. 55) เราได้รวมมูลค่างานก่อสร้างของโรงฟ้าแห่งนี้ไว้ที่ 4,500 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 เฟส โดยเฟสที่ 1 ขนาดประมาณ 50-60 เมกะวตต์จะสร้างเสร็จและเริ่มสร้างรายได้ใน 2Q56 ส่วนเฟสที่ 2 ขนาด 50-40 เมกะวัตต์จะสร้างเสร็จ 3Q57
มูลค่าเพิ่มจากโรงไฟฟ้า 4 บาท/หุ้น : บนสมมุติฐานของกำลังการผลิตที่ 100 เมกะวัตต์ IRR 17% (DCF, WACC 6.4%) เราได้มูลค่าเพิ่มของธุรกิจไฟฟ้าที่พม่าเท่ากับ 4 บาท/หุ้น นอกจากนี้เรา TTCL ยังมีส่วนแบ่งกำไรจาก 2 โรงไฟฟ้าคือ สยาม โซล่าร์ พาวเวอร์ส่วนแบ่งประมาณ 10–15 ล้านบาท/ปีและโรงไฟฟ้านวนคร (NNE) ขนาด 110 เมกะวัตต์คาดจะเริ่มผลิต กระแสไฟฟ้าได้ช่วงปลาย 1Q56 เราประเมินส่วนแบ่งกำไร ประมาณ 60-70 ล้านบาท/ปี ดังนั้นในปี 2557 TTCL จะมีส่วนแบ่งกำไรจากธุรกิจโรงฟ้าประมาณ 2 แห่งรวม 70 – 85 ล้านบาท/ปี
Bidding Proposal แข็งแกร่งโอกาสได้งานใหม่ไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท : ณ สิ้น 3Q55 TTCL มี Bidding Proposal ในมือกว่า 74,000 ล้านบาท (สัดส่วนในประเทศ : ต่างประเทศ เท่ากับ 34 : 66) ซึ่งรวมงานในประเทศกาตาร์อยู่ในนี้ด้วยและหากคิดอัตราความสำเร็จของการได้งานใหม่ที่ 1 ใน 3 เราคาด TTCL มีโอกาสการชนะงานใหม่เพิ่มไม่ต่ำกว่า 20,000 ล้านบาท ในช่วง12 เดือนข้างหน้า โดยคาดจะเป็นงานในกาตาร์ 7,750 ล้านบาทและงานโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ในประเทศประมาณ 10,000 ล้านบาทซึ่งจะช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งของ Backlog ในอนาคต
Backlog แข็งแกร่งต่อยอดการเติบโตไม่ต่ำกว่า 2 – 3 ปี ปรับเพิ่มประมาณการปี 2556 สะท้อนงานใหม่: TTCL มี Backlog ในมือซึ่งรวมงานโรงฟ้าที่พม่าแล้วเท่ากับ 21,000 ล้านบาท และหากมีการประกาศงานอย่างเป็นทางการจากกาตาร์จะทำให้ Backlog ในมือปรับเพิ่มขึ้นทันทีเป็น 29,000 ล้านบาท สำหรับประมาณการผลประกอบการเราคาดปี 2555 ที่รายได้ 12,120 ล้านบาท (+36% yoy) ขณะที่กำไรสุทธิคาดที่ 503 ล้านบาท (+25% YoY) โดยทั้งรายได้และกำไรสุทธิของ 9M55 คิดเป็นสัดส่วน 68% ของประมาณการของเราในปี 2555 และในปี 2556 เราปรับเพิ่มประมาณการรายได้ 7% เป็นเท่ากับ 19,776 ล้านบาทเพื่อให้สะท้อนกับงานใหม่ขนาดใหญ่ที่คาดว่าจะได้รับ ซึ่งหากเรารวม Backlog ที่จะยกข้ามไปจากปีนี้ งานกาตาร์ และงานโรงไฟฟ้าในประเทศเข้าด้วยกันจะทำให้ TTCL มี Secured Revenue ของปี 2556 เท่ากับ 85% และเราคาดกำไรสุทธิที่เท่ากับ 804 ล้านบาท (+60% YoY) และเพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 5.2% อย่างไรก็ตาม Downside ของประมาณการในปี 2556 จะอยู่ที่ระยะเวลาการบันทึกรายได้จะต้องไม่ล่าช้ากว่าที่เราคาดไว้โดยเราได้เผื่อรายได้จากงานใหม่ไว้ที่ 3,000 ล้านบาท (15% ของประมาณการปี 2556)
แนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมายปี 2556 ปรับเพิ่มเป็นเท่ากับ 36.00 : เรายังคงชอบ TTCL และคงคำแนะนำ ซื้อ โดยราคาเป้าหมายใหม่เท่ากับ 36.00 บาท/หุ้นจากการรวมมูลค่าจากโรงไฟฟ้าไฟฟ้า 4 บาท/หุ้นเข้ากับมูลค่าพื้นฐานที่ 32.00 บาท/หุ้น (ปรับเพิ่มขึ้นจาก 29.00 บาท/หุ้น) จากการประเมินมูลค่าที่เหมาะสมด้วยวิธี PER ที่ 18 เท่า
INFO: maybank-ke.co.th
EGCO - BT 129.00 - ซื้อ ปันผลสม่ำเสมอ+โอกาสเติบโตในอนาคต
ปันผลสม่ำเสมอ+โอกาสเติบโตในอนาคต
ประเด็นการลงทุน : แม้เราจะมีมุมมองเป็นกลางจากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ แต่เรายังคงแนะนำ ซื้อ EGCO ราคาเป้าหมาย 145 บาท จากโอกาสเติบโตของกำลังการผลิตในอนาคตและเงินปันผลที่จ่ายอย่างสม่ำเสมอ ผู้บริหารตอกย้ำถึงโอกาสการเติบโตในอนาคตจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ทั้ง IPP ที่คาดมีการประมูลใน 1H56 ส่วนขยายโรงไฟฟ้าเคซอน โรงไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และระยะยาวจากโรงไฟฟ้า SPP ส่วนเพิ่ม นอกจากนั้นยังให้ความมั่นใจต่อเงินปันผลที่คงนโยบายเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป สำหรับ FY2555 เราคาดไว้ที่ 5.50 บาทเพิ่มจาก 5.25 บาท ใน 2554
ปัจจัยบวกจากการประมูล IPP ใน 1H56: การประมูลโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) คาดจะเปิดประมูลใน 1Q56 และประกาศผลในช่วงกลางปี 2556 โดยจะพิจารณาเงื่อนไขทางเทคนิคก่อน หากผ่านจึงประเมินในด้านราคา การประมูลดังกล่าวจะเป็นประเด็นการลงทุนที่สำคัญสำหรับกลุ่มในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่สำคัญได้แก่ ระยะเวลาการเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ ในปี 2564-69 ที่ค่อนข้างไกลทำให้มีความไม่แน่นอนด้านการควบคุมต้นทุนการก่อสร้างและความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยสูง แต่ EGCO คาดจะสามารถส่งผ่านได้บางส่วนจากการปรับราคาโดยใช้สูตรอ้างอิงสมมติฐานเงินเฟ้อหรือตัวแปรทางเศรษฐกิจอื่น เพื่อให้สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไปได้ เราประเมินมูลค่าเพิ่มหาก EGCO ชนะการประมูลที่ 6.40 บาทต่อหุ้นต่อโรง บนสมมติฐาน IRR 15% (ยังไม่รวมเข้าไว้ในประมาณการ)
คาดได้ข้อสรุปโรงไฟฟ้าเคซอนส่วนขยายใน 1Q56: โรงไฟฟ้าเคซอนในฟิลิปปินส์ ส่วนขยายยังอยู่ระหว่างการเจรจากับ Meralco ซึ่งเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าโรงไฟฟ้าเคซอนเดิม เพื่อร่วมกันก่อสร้างส่วนขยายขนาด 500 MW คาดได้ข้อสรุปใน 1Q56 และจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2560 และจะเป็นอัพไซด์ต่อประมาณการของเราในอนาคต บนสมมติฐานถือหุ้นฝ่ายละ 50% EGCO จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 5.3% จากปัจจุบันที่ 4,708 MW
ปัจจัยบวกระยะถัดไปจากการยื่นข้อเสนอก่อสร้างโรงไฟฟ้า SPP: การเสนอก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) คาดเกิดหลังการประมูลโรงไฟฟ้า IPP เสร็จสิ้น เบื้องต้นคาดไว้ในปี 2557 สำหรับการก่อสร้างโรงไฟฟ้า SPP เพื่อเปิดดำเนินการในปี 2564-2573 ตามแผน PDP ฉบับล่าสุด ที่กำหนดให้มีการเปิดดำเนินการปีละประมาณ 3 โรง รวมกำลังการผลิต 360 MW ต่อปี คาดจะเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตระยะยาวได้อีกประการหนึ่ง ทั้งนี้ EGCO อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ร่วมทุน ซึ่งถือว่ามีความสำคัญ เนื่องจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้า SPP จะต้องมีการจัดหาลูกค้าภายนอก โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมเพื่อจำหน่ายไอน้ำควบคู่ไปด้วย
แนะนำ ซื้อ: เราปรับประมาณการปี 2555-56 เพิ่ม 0.9-7.4% เป็น 10,477 และ 6,274 ล้านบาท สะท้อนการรวมผลจากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่ได้รวมมูลค่าเพิ่มไปแล้วก่อนหน้านี้ ยังคงแนะนำ ซื้อ EGCO ราคาเป้าหมาย 145 บาท จากปัจจัยบวก ได้แก่ โอกาสเติบโตจากการประมูลโรงไฟฟ้า IPP ใน 1H56 ส่วนขยายโรงไฟฟ้าเคซอน การเพิ่มกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าจากพลังงานและผลตอบแทนจากเงินปันผลที่จ่ายอย่างสม่ำเสมอ 5.50 บาทต่อปี
INFO: maybank-ke.co.th
ประเด็นการลงทุน : แม้เราจะมีมุมมองเป็นกลางจากการประชุมนักวิเคราะห์วานนี้ แต่เรายังคงแนะนำ ซื้อ EGCO ราคาเป้าหมาย 145 บาท จากโอกาสเติบโตของกำลังการผลิตในอนาคตและเงินปันผลที่จ่ายอย่างสม่ำเสมอ ผู้บริหารตอกย้ำถึงโอกาสการเติบโตในอนาคตจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ทั้ง IPP ที่คาดมีการประมูลใน 1H56 ส่วนขยายโรงไฟฟ้าเคซอน โรงไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และระยะยาวจากโรงไฟฟ้า SPP ส่วนเพิ่ม นอกจากนั้นยังให้ความมั่นใจต่อเงินปันผลที่คงนโยบายเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป สำหรับ FY2555 เราคาดไว้ที่ 5.50 บาทเพิ่มจาก 5.25 บาท ใน 2554
ปัจจัยบวกจากการประมูล IPP ใน 1H56: การประมูลโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ (IPP) คาดจะเปิดประมูลใน 1Q56 และประกาศผลในช่วงกลางปี 2556 โดยจะพิจารณาเงื่อนไขทางเทคนิคก่อน หากผ่านจึงประเมินในด้านราคา การประมูลดังกล่าวจะเป็นประเด็นการลงทุนที่สำคัญสำหรับกลุ่มในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตามความเสี่ยงที่สำคัญได้แก่ ระยะเวลาการเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ ในปี 2564-69 ที่ค่อนข้างไกลทำให้มีความไม่แน่นอนด้านการควบคุมต้นทุนการก่อสร้างและความผันผวนของอัตราดอกเบี้ยสูง แต่ EGCO คาดจะสามารถส่งผ่านได้บางส่วนจากการปรับราคาโดยใช้สูตรอ้างอิงสมมติฐานเงินเฟ้อหรือตัวแปรทางเศรษฐกิจอื่น เพื่อให้สามารถส่งผ่านต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไปได้ เราประเมินมูลค่าเพิ่มหาก EGCO ชนะการประมูลที่ 6.40 บาทต่อหุ้นต่อโรง บนสมมติฐาน IRR 15% (ยังไม่รวมเข้าไว้ในประมาณการ)
คาดได้ข้อสรุปโรงไฟฟ้าเคซอนส่วนขยายใน 1Q56: โรงไฟฟ้าเคซอนในฟิลิปปินส์ ส่วนขยายยังอยู่ระหว่างการเจรจากับ Meralco ซึ่งเป็นผู้ซื้อไฟฟ้าโรงไฟฟ้าเคซอนเดิม เพื่อร่วมกันก่อสร้างส่วนขยายขนาด 500 MW คาดได้ข้อสรุปใน 1Q56 และจะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 2560 และจะเป็นอัพไซด์ต่อประมาณการของเราในอนาคต บนสมมติฐานถือหุ้นฝ่ายละ 50% EGCO จะมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 5.3% จากปัจจุบันที่ 4,708 MW
ปัจจัยบวกระยะถัดไปจากการยื่นข้อเสนอก่อสร้างโรงไฟฟ้า SPP: การเสนอก่อสร้างโรงไฟฟ้าขนาดเล็ก (SPP) คาดเกิดหลังการประมูลโรงไฟฟ้า IPP เสร็จสิ้น เบื้องต้นคาดไว้ในปี 2557 สำหรับการก่อสร้างโรงไฟฟ้า SPP เพื่อเปิดดำเนินการในปี 2564-2573 ตามแผน PDP ฉบับล่าสุด ที่กำหนดให้มีการเปิดดำเนินการปีละประมาณ 3 โรง รวมกำลังการผลิต 360 MW ต่อปี คาดจะเป็นปัจจัยบวกต่อการเติบโตระยะยาวได้อีกประการหนึ่ง ทั้งนี้ EGCO อยู่ระหว่างการเจรจากับผู้ร่วมทุน ซึ่งถือว่ามีความสำคัญ เนื่องจากการก่อสร้างโรงไฟฟ้า SPP จะต้องมีการจัดหาลูกค้าภายนอก โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมเพื่อจำหน่ายไอน้ำควบคู่ไปด้วย
แนะนำ ซื้อ: เราปรับประมาณการปี 2555-56 เพิ่ม 0.9-7.4% เป็น 10,477 และ 6,274 ล้านบาท สะท้อนการรวมผลจากโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนที่ได้รวมมูลค่าเพิ่มไปแล้วก่อนหน้านี้ ยังคงแนะนำ ซื้อ EGCO ราคาเป้าหมาย 145 บาท จากปัจจัยบวก ได้แก่ โอกาสเติบโตจากการประมูลโรงไฟฟ้า IPP ใน 1H56 ส่วนขยายโรงไฟฟ้าเคซอน การเพิ่มกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าจากพลังงานและผลตอบแทนจากเงินปันผลที่จ่ายอย่างสม่ำเสมอ 5.50 บาทต่อปี
INFO: maybank-ke.co.th
วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
VI Gen-X : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ในการที่เราจะเข้าใจ Mega Trend หรือแนวโน้มใหญ่ต่าง ๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองนั้น สิ่งที่เราจะต้องรู้ก็คือพฤติกรรมของคนในโลกและในประเทศซึ่งก็มักจะสอดคล้องใกล้เคียงกันเนื่องจากโลกเรานั้นเป็น Globalization ในการศึกษาพฤติกรรมของคนนั้น เราพบว่าคนในแต่ละยุค หรือพูดให้ชัดก็คือคนที่เกิดในช่วงเวลาที่ต่างกันนั้นมักจะมีแนวคิดหรือพฤติกรรมต่างกัน ซึ่งนี่ก็เกิดขึ้นเนื่องจากเหตุการณ์หรือพัฒนาการสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไป ตัวอย่างเช่น เกิดสงครามโลก หรือเกิดระบบอินเตอร์เน็ตที่ประชาชนทุกคนสามารถใช้ได้เป็นต้น
ในทางวิชาการได้มีการจัดคนที่เกิดในช่วงปีต่าง ๆ ออกเป็นกลุ่มที่มีคำเรียกแทนลักษณะสำคัญของคนในยุคสมัยหรือรุ่นนั้น โดยที่ผมจะเริ่มจากยุคที่แก่ที่สุดที่ยังมีจำนวนและบทบาทอยู่ในปัจจุบันนั่นก็คือ ยุค Baby Boom หรือยุค “ลูกมาก” นี่คือคนที่เกิดตั้งแต่ปี 1945 ซึ่งเป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่มีเด็กเกิดใหม่มากมาย การที่ครอบครัวจะมีลูก 5-6 คน เป็นเรื่องธรรมดา บางบ้านมีเป็นสิบคน ยุค “เบบี้บูม” นี้สิ้นสุดลงในปี 1964 หรือกินเวลาประมาณ 19 ปี และถ้านับถึงวันนี้ก็คือกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 48 ถึง 67 ปี ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น และดังนั้นผมก็จะมีไอเดียหรือแนวคิดหรือมุมมองต่อโลกแบบหนึ่งของคนที่อยู่ในยุคนี้ นอกจากนั้น ผมก็พอจะเข้าใจว่าคนในรุ่นนี้มักจะคิดอย่างไรต่อเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตและในสังคม
พวกเบบี้บูมหรือถ้าจะพูดในวันนี้ว่าเป็นพวก “คนแก่” นั้น มักจะเป็นคนที่ “อนุรักษ์นิยม” เป็นคนที่ชอบประเพณีที่ดีงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและ “ศีลธรรมอันดี” พวกเขาจะชื่นชอบและเคารพเชื่อถืออะไรก็ตามที่เป็น “สถาบัน” ของประเทศหรือของสังคมหรือชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่ คนที่ไม่ยึดถือประเพณี ความเป็นระเบียบ หรือสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวถึงนั้นจะถูกมองว่าเป็น “คนไม่ดี” และจะต้องถูกลงโทษทั้งทางด้านของสังคมและกฎหมายถ้ามี แม้แต่ในเรื่องของความรู้สึกส่วนตัวที่เป็นเรื่อง “ธรรมชาติ” เช่นเรื่องของเซ็กส์ก็ถูก “ควบคุม” โดยสังคม คนที่ฝ่าฝืนมักถูกสังคมต่อต้านอย่างรุนแรง ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับชายโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานกลายเป็นหญิงที่มี “มลทิน” ในบางสังคมซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย นี่คือคุณลักษณะคร่าว ๆ ของเบบี้บูมเมอร์ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนมากหรือน่าจะมากที่สุดในบรรดากลุ่มทั้งหลายที่ผมจะกล่าวต่อไป ประเด็นก็คือ บทบาทหรืออิทธิพลของพวกเขานั้นยังสูงยิ่ง ไม่ว่าจะทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง อย่างไรก็ตาม พวกเขาอาจจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว นับวันก็จะถดถอยลงไปเรื่อย ๆ ว่าที่จริง นายกรัฐมนตรีของไทย 2 คนสุดท้ายของเรานั้น ก็ไม่ได้เป็นพวกเบบี้บูมเมอร์แล้ว
คนรุ่นต่อมาที่มีพฤติกรรมและแนวความคิดเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นเบบี้บูมนั้น คือคนที่เกิดตั้งแต่ปี 1965 ซึ่งถือเป็น “ลูกคนแรก” ของพวกเบบี้บูม จนถึงคนที่เกิดก่อนปี 1981 คิดเป็นเวลาประมาณ 16 ปี หรือถ้านับถึงวันนี้ก็คือคนที่มีอายุตั้งแต่ 31 ถึง 47 ปี นี่คือกลุ่มที่เรียกว่า “Generation X” ซึ่งเป็นชื่อที่คนที่ศึกษาไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรจึงใช้คำว่า X คนกลุ่มนี้ถูก “ค้นพบ” เมื่อมีการศึกษาโดยนักเขียนอังกฤษชื่อ Jane Deverson ซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปสำรวจและสอบถามความคิดของเด็กวัยรุ่นเพื่อตีพิมพ์ในแมกกาซีน แต่สิ่งที่เธอพบนั้นกลับทำให้เธอ “ขวัญผวา” เพราะเธอพบว่าเด็กวัยรุ่นเหล่านั้นมีมุมมองและความคิดที่ขัดแย้งกับความเชื่อและความคิดเดิมอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น พวกเขาส่วนใหญ่ไม่เคารพนับถือพ่อแม่ ไม่เชื่อในพระเจ้า และหลับนอนกันก่อนแต่งงาน แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเขาไม่ชอบ “สถาบัน” ซึ่งทำให้บทความนั้นไม่สามารถตีพิมพ์ในอังกฤษได้ และเพื่อให้บทความหรือผลการศึกษาไม่เสียเปล่า เธอจึงไปร่วมเขียนเป็นหนังสือกับนาย Charles Hamblett ที่อเมริกาและตั้งชื่อว่า Generation X
คน Gen-X นั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นคน “ต่อต้านสังคม” และ “ต่อต้านสถาบัน” พวกเขาอยากเป็นคนทำงาน “อิสระ” มากกว่าที่จะเป็นลูกจ้างบริษัทใหญ่ ๆ ในทางสังคมนั้น พวกเขาเห็นว่าการหย่าร้างเป็นเรื่องปกติ การอยู่กินกันโดยไม่แต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเช่นเดียวกับการเป็นเกย์หรือเลสเบียน ยุคนี้เป็นช่วงที่เทคโนโลยีทางด้านข่าวสารข้อมูลและอินเตอร์เน็ตกำเนิดขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงคุ้นเคยและใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ การค้นหาข้อมูลและความรู้ทำได้แค่ปลายนิ้ว ผลจากความก้าวหน้าทางด้าน IT ทำให้การก่อตั้งกิจการขนาดย่อมเกิดขึ้นมากมายจากคนเจนเอ็กซ์ พวกเขาเป็นนักคิดสร้างสรรค์ที่สร้างผลงานใหม่ ๆ มากมายให้กับโลกและกล้าที่จะทดลองสิ่งใหม่ ๆ โดยไม่มีข้อจำกัด ในทางสังคมและการเมือง คนรุ่น Gen X นั้น เน้น “ความเท่าเทียม” กันสูง ผู้หญิงไม่ยอมเป็น “ช้างเท้าหลัง” อีกต่อไป ความสามารถในการพึ่งพาตนเองทำให้คนรุ่นนี้มีลูกน้อย บางทีก็ไม่ต้องการเลย
คนรุ่นต่อมาคือ Gen Y นี่คือ “เด็กรุ่นใหม่” ที่เกิดจากคนรุ่นเบบี้บูมหลังจากปี 1981 จนถึงปี 1997 ซึ่งก็คือคนที่มีอายุตั้งแต่ 15 ถึง 31 ปี นี่คือคนที่เกิดมาก็มีระบบอินเตอร์เน็ตใช้กันอย่างกว้างขวางแล้ว ดังนั้น พวกเขาไม่คุ้นเคยกับแนวทางชีวิตของคนรุ่นเก่าเลย เพื่อนของเขาส่วนใหญ่ติดต่อกันผ่านทางการส่งข้อมูลผ่านโทรศัพท์มือถือ พวกเขาไม่ดูทีวีหรือดู “หนังแผ่น” แต่ใช้วิธีดาวน์โหลดภาพยนต์จากอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก คน Gen-Y นั้น มีความเป็น “สากล” มาก การมีเพื่อนที่เป็นคนต่างชาติและต่างวัฒนธรรมเป็นเรื่องปกติเช่นเดียวกับการมีแฟนเป็นคนต่างชาติ การนิยมชมชอบวัฒนธรรมหรือศิลปินจากต่างชาติก็เป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน พวกเขา “ไม่ต่อต้านสถาบัน” แต่ใช้วิธี “หลีกเลี่ยง” มากกว่า คน Gen-Y นั้น เป็นพวกที่มีจินตนาการสูง พวกเขาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในด้านของงานอาชีพ พวกเขาชอบทำงานในด้านของ IT และธุรกิจทางด้านความบันเทิงมากกว่างาน “ใช้มือ” อย่างอื่น ที่สำคัญ พวกเขาอยากทำงานที่ทำให้ รวยเร็วหรือดังเร็ว การเงินก็เป็นหนึ่งในนั้น
ผมคงไม่พูดถึง Gen Z ซึ่งก็คือเด็กที่อายุไม่ถึง 15 ปี ในปัจจุบันซึ่งเป็นหลานของเบบี้บูม แต่จะพูดถึงนักลงทุนที่เป็น VI ในประเทศไทย เหตุผลก็เพราะว่าจากการสังเกตผมพบว่า VI ไทยที่ประสบความสำเร็จสูงและมีพอร์ตขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับอายุนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นคน Gen-X ซึ่งก็คือ VI ที่มีอายุระหว่าง 31- 47 คนกลุ่มนี้ผมคิดว่าอยู่ในสถานะที่ “ได้เปรียบที่สุด” ในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เหตุผลก็คือ หนึ่งพวกเขาเป็นลูกของเบบี้บูมที่ได้สะสมความมั่งคั่งไว้มากพอที่จะให้ลูกได้เริ่มลงทุนอย่างเต็มที่ได้ ข้อสอง พวกเขาเป็นนักลงทุนที่มักจะไม่ได้ผ่านเหตุวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ดังนั้น พวกเขาเข้าตลาดในช่วงที่ตลาดหุ้นเติบโตอย่างรวดเร็วและมั่นคงมากตลอดมา ข้อสาม พวกเขาได้เรียนรู้หลักการ VI มาตั้งแต่เริ่มเข้าตลาด ดังนั้น จึงมีหลักการการลงทุนที่ถูกต้องมาตั้งแต่แรก และข้อสุดท้ายที่ผมจะพูดก็คือ พวกเขาเป็นคนที่ไม่ติดยึดกับอะไรที่เป็น “สถาบัน” พวกเขาไม่คิดว่าจะต้องทำงานและเติบโตตามระบบหรือในบริษัทขนาดใหญ่ ตรงกันข้าม พวกเขาอยากเป็น “อิสระ” โดยการทำธุรกิจเช่น ตั้งบริษัทขนาดเล็กและเป็นตัวของตัวเอง หลายคนมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นแบบ VI เป็นหนทางแห่งความสำเร็จทางหนึ่ง และโชคดี หลายคนได้บรรลุความฝันนั้น
INFO: โลกในมุมมองของ Value Investor, ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร, http://portal.settrade.com/blog/nivate/2012/11/26/1206
ในทางวิชาการได้มีการจัดคนที่เกิดในช่วงปีต่าง ๆ ออกเป็นกลุ่มที่มีคำเรียกแทนลักษณะสำคัญของคนในยุคสมัยหรือรุ่นนั้น โดยที่ผมจะเริ่มจากยุคที่แก่ที่สุดที่ยังมีจำนวนและบทบาทอยู่ในปัจจุบันนั่นก็คือ ยุค Baby Boom หรือยุค “ลูกมาก” นี่คือคนที่เกิดตั้งแต่ปี 1945 ซึ่งเป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่มีเด็กเกิดใหม่มากมาย การที่ครอบครัวจะมีลูก 5-6 คน เป็นเรื่องธรรมดา บางบ้านมีเป็นสิบคน ยุค “เบบี้บูม” นี้สิ้นสุดลงในปี 1964 หรือกินเวลาประมาณ 19 ปี และถ้านับถึงวันนี้ก็คือกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง 48 ถึง 67 ปี ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น และดังนั้นผมก็จะมีไอเดียหรือแนวคิดหรือมุมมองต่อโลกแบบหนึ่งของคนที่อยู่ในยุคนี้ นอกจากนั้น ผมก็พอจะเข้าใจว่าคนในรุ่นนี้มักจะคิดอย่างไรต่อเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตและในสังคม
พวกเบบี้บูมหรือถ้าจะพูดในวันนี้ว่าเป็นพวก “คนแก่” นั้น มักจะเป็นคนที่ “อนุรักษ์นิยม” เป็นคนที่ชอบประเพณีที่ดีงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและ “ศีลธรรมอันดี” พวกเขาจะชื่นชอบและเคารพเชื่อถืออะไรก็ตามที่เป็น “สถาบัน” ของประเทศหรือของสังคมหรือชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่ คนที่ไม่ยึดถือประเพณี ความเป็นระเบียบ หรือสิ่งต่าง ๆ ที่กล่าวถึงนั้นจะถูกมองว่าเป็น “คนไม่ดี” และจะต้องถูกลงโทษทั้งทางด้านของสังคมและกฎหมายถ้ามี แม้แต่ในเรื่องของความรู้สึกส่วนตัวที่เป็นเรื่อง “ธรรมชาติ” เช่นเรื่องของเซ็กส์ก็ถูก “ควบคุม” โดยสังคม คนที่ฝ่าฝืนมักถูกสังคมต่อต้านอย่างรุนแรง ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับชายโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานกลายเป็นหญิงที่มี “มลทิน” ในบางสังคมซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย นี่คือคุณลักษณะคร่าว ๆ ของเบบี้บูมเมอร์ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนมากหรือน่าจะมากที่สุดในบรรดากลุ่มทั้งหลายที่ผมจะกล่าวต่อไป ประเด็นก็คือ บทบาทหรืออิทธิพลของพวกเขานั้นยังสูงยิ่ง ไม่ว่าจะทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง อย่างไรก็ตาม พวกเขาอาจจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว นับวันก็จะถดถอยลงไปเรื่อย ๆ ว่าที่จริง นายกรัฐมนตรีของไทย 2 คนสุดท้ายของเรานั้น ก็ไม่ได้เป็นพวกเบบี้บูมเมอร์แล้ว
คนรุ่นต่อมาที่มีพฤติกรรมและแนวความคิดเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นเบบี้บูมนั้น คือคนที่เกิดตั้งแต่ปี 1965 ซึ่งถือเป็น “ลูกคนแรก” ของพวกเบบี้บูม จนถึงคนที่เกิดก่อนปี 1981 คิดเป็นเวลาประมาณ 16 ปี หรือถ้านับถึงวันนี้ก็คือคนที่มีอายุตั้งแต่ 31 ถึง 47 ปี นี่คือกลุ่มที่เรียกว่า “Generation X” ซึ่งเป็นชื่อที่คนที่ศึกษาไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรจึงใช้คำว่า X คนกลุ่มนี้ถูก “ค้นพบ” เมื่อมีการศึกษาโดยนักเขียนอังกฤษชื่อ Jane Deverson ซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปสำรวจและสอบถามความคิดของเด็กวัยรุ่นเพื่อตีพิมพ์ในแมกกาซีน แต่สิ่งที่เธอพบนั้นกลับทำให้เธอ “ขวัญผวา” เพราะเธอพบว่าเด็กวัยรุ่นเหล่านั้นมีมุมมองและความคิดที่ขัดแย้งกับความเชื่อและความคิดเดิมอย่างรุนแรง ตัวอย่างเช่น พวกเขาส่วนใหญ่ไม่เคารพนับถือพ่อแม่ ไม่เชื่อในพระเจ้า และหลับนอนกันก่อนแต่งงาน แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ พวกเขาไม่ชอบ “สถาบัน” ซึ่งทำให้บทความนั้นไม่สามารถตีพิมพ์ในอังกฤษได้ และเพื่อให้บทความหรือผลการศึกษาไม่เสียเปล่า เธอจึงไปร่วมเขียนเป็นหนังสือกับนาย Charles Hamblett ที่อเมริกาและตั้งชื่อว่า Generation X
คน Gen-X นั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นคน “ต่อต้านสังคม” และ “ต่อต้านสถาบัน” พวกเขาอยากเป็นคนทำงาน “อิสระ” มากกว่าที่จะเป็นลูกจ้างบริษัทใหญ่ ๆ ในทางสังคมนั้น พวกเขาเห็นว่าการหย่าร้างเป็นเรื่องปกติ การอยู่กินกันโดยไม่แต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเช่นเดียวกับการเป็นเกย์หรือเลสเบียน ยุคนี้เป็นช่วงที่เทคโนโลยีทางด้านข่าวสารข้อมูลและอินเตอร์เน็ตกำเนิดขึ้น ดังนั้นพวกเขาจึงคุ้นเคยและใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ การค้นหาข้อมูลและความรู้ทำได้แค่ปลายนิ้ว ผลจากความก้าวหน้าทางด้าน IT ทำให้การก่อตั้งกิจการขนาดย่อมเกิดขึ้นมากมายจากคนเจนเอ็กซ์ พวกเขาเป็นนักคิดสร้างสรรค์ที่สร้างผลงานใหม่ ๆ มากมายให้กับโลกและกล้าที่จะทดลองสิ่งใหม่ ๆ โดยไม่มีข้อจำกัด ในทางสังคมและการเมือง คนรุ่น Gen X นั้น เน้น “ความเท่าเทียม” กันสูง ผู้หญิงไม่ยอมเป็น “ช้างเท้าหลัง” อีกต่อไป ความสามารถในการพึ่งพาตนเองทำให้คนรุ่นนี้มีลูกน้อย บางทีก็ไม่ต้องการเลย
คนรุ่นต่อมาคือ Gen Y นี่คือ “เด็กรุ่นใหม่” ที่เกิดจากคนรุ่นเบบี้บูมหลังจากปี 1981 จนถึงปี 1997 ซึ่งก็คือคนที่มีอายุตั้งแต่ 15 ถึง 31 ปี นี่คือคนที่เกิดมาก็มีระบบอินเตอร์เน็ตใช้กันอย่างกว้างขวางแล้ว ดังนั้น พวกเขาไม่คุ้นเคยกับแนวทางชีวิตของคนรุ่นเก่าเลย เพื่อนของเขาส่วนใหญ่ติดต่อกันผ่านทางการส่งข้อมูลผ่านโทรศัพท์มือถือ พวกเขาไม่ดูทีวีหรือดู “หนังแผ่น” แต่ใช้วิธีดาวน์โหลดภาพยนต์จากอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก คน Gen-Y นั้น มีความเป็น “สากล” มาก การมีเพื่อนที่เป็นคนต่างชาติและต่างวัฒนธรรมเป็นเรื่องปกติเช่นเดียวกับการมีแฟนเป็นคนต่างชาติ การนิยมชมชอบวัฒนธรรมหรือศิลปินจากต่างชาติก็เป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน พวกเขา “ไม่ต่อต้านสถาบัน” แต่ใช้วิธี “หลีกเลี่ยง” มากกว่า คน Gen-Y นั้น เป็นพวกที่มีจินตนาการสูง พวกเขาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในด้านของงานอาชีพ พวกเขาชอบทำงานในด้านของ IT และธุรกิจทางด้านความบันเทิงมากกว่างาน “ใช้มือ” อย่างอื่น ที่สำคัญ พวกเขาอยากทำงานที่ทำให้ รวยเร็วหรือดังเร็ว การเงินก็เป็นหนึ่งในนั้น
ผมคงไม่พูดถึง Gen Z ซึ่งก็คือเด็กที่อายุไม่ถึง 15 ปี ในปัจจุบันซึ่งเป็นหลานของเบบี้บูม แต่จะพูดถึงนักลงทุนที่เป็น VI ในประเทศไทย เหตุผลก็เพราะว่าจากการสังเกตผมพบว่า VI ไทยที่ประสบความสำเร็จสูงและมีพอร์ตขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับอายุนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นคน Gen-X ซึ่งก็คือ VI ที่มีอายุระหว่าง 31- 47 คนกลุ่มนี้ผมคิดว่าอยู่ในสถานะที่ “ได้เปรียบที่สุด” ในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย เหตุผลก็คือ หนึ่งพวกเขาเป็นลูกของเบบี้บูมที่ได้สะสมความมั่งคั่งไว้มากพอที่จะให้ลูกได้เริ่มลงทุนอย่างเต็มที่ได้ ข้อสอง พวกเขาเป็นนักลงทุนที่มักจะไม่ได้ผ่านเหตุวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 ดังนั้น พวกเขาเข้าตลาดในช่วงที่ตลาดหุ้นเติบโตอย่างรวดเร็วและมั่นคงมากตลอดมา ข้อสาม พวกเขาได้เรียนรู้หลักการ VI มาตั้งแต่เริ่มเข้าตลาด ดังนั้น จึงมีหลักการการลงทุนที่ถูกต้องมาตั้งแต่แรก และข้อสุดท้ายที่ผมจะพูดก็คือ พวกเขาเป็นคนที่ไม่ติดยึดกับอะไรที่เป็น “สถาบัน” พวกเขาไม่คิดว่าจะต้องทำงานและเติบโตตามระบบหรือในบริษัทขนาดใหญ่ ตรงกันข้าม พวกเขาอยากเป็น “อิสระ” โดยการทำธุรกิจเช่น ตั้งบริษัทขนาดเล็กและเป็นตัวของตัวเอง หลายคนมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นแบบ VI เป็นหนทางแห่งความสำเร็จทางหนึ่ง และโชคดี หลายคนได้บรรลุความฝันนั้น
INFO: โลกในมุมมองของ Value Investor, ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร, http://portal.settrade.com/blog/nivate/2012/11/26/1206