วันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

VI Gen-X : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ในการที่เราจะเข้าใจ Mega Trend หรือแนวโน้มใหญ่ต่าง ๆ  ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม  และการเมืองนั้น   สิ่งที่เราจะต้องรู้ก็คือพฤติกรรมของคนในโลกและในประเทศซึ่งก็มักจะสอดคล้องใกล้เคียงกันเนื่องจากโลกเรานั้นเป็น  Globalization   ในการศึกษาพฤติกรรมของคนนั้น  เราพบว่าคนในแต่ละยุค  หรือพูดให้ชัดก็คือคนที่เกิดในช่วงเวลาที่ต่างกันนั้นมักจะมีแนวคิดหรือพฤติกรรมต่างกัน  ซึ่งนี่ก็เกิดขึ้นเนื่องจากเหตุการณ์หรือพัฒนาการสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไป  ตัวอย่างเช่น  เกิดสงครามโลก  หรือเกิดระบบอินเตอร์เน็ตที่ประชาชนทุกคนสามารถใช้ได้เป็นต้น

          ในทางวิชาการได้มีการจัดคนที่เกิดในช่วงปีต่าง ๆ  ออกเป็นกลุ่มที่มีคำเรียกแทนลักษณะสำคัญของคนในยุคสมัยหรือรุ่นนั้น  โดยที่ผมจะเริ่มจากยุคที่แก่ที่สุดที่ยังมีจำนวนและบทบาทอยู่ในปัจจุบันนั่นก็คือ  ยุค Baby Boom หรือยุค “ลูกมาก”  นี่คือคนที่เกิดตั้งแต่ปี 1945 ซึ่งเป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่มีเด็กเกิดใหม่มากมาย  การที่ครอบครัวจะมีลูก 5-6 คน เป็นเรื่องธรรมดา  บางบ้านมีเป็นสิบคน   ยุค “เบบี้บูม”  นี้สิ้นสุดลงในปี 1964 หรือกินเวลาประมาณ 19 ปี  และถ้านับถึงวันนี้ก็คือกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง  48 ถึง 67 ปี ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น   และดังนั้นผมก็จะมีไอเดียหรือแนวคิดหรือมุมมองต่อโลกแบบหนึ่งของคนที่อยู่ในยุคนี้  นอกจากนั้น  ผมก็พอจะเข้าใจว่าคนในรุ่นนี้มักจะคิดอย่างไรต่อเรื่องต่าง ๆ  ในชีวิตและในสังคม

          พวกเบบี้บูมหรือถ้าจะพูดในวันนี้ว่าเป็นพวก  “คนแก่”  นั้น  มักจะเป็นคนที่  “อนุรักษ์นิยม”  เป็นคนที่ชอบประเพณีที่ดีงาม  ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและ  “ศีลธรรมอันดี”  พวกเขาจะชื่นชอบและเคารพเชื่อถืออะไรก็ตามที่เป็น  “สถาบัน”  ของประเทศหรือของสังคมหรือชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่  คนที่ไม่ยึดถือประเพณี  ความเป็นระเบียบ  หรือสิ่งต่าง ๆ  ที่กล่าวถึงนั้นจะถูกมองว่าเป็น  “คนไม่ดี”  และจะต้องถูกลงโทษทั้งทางด้านของสังคมและกฎหมายถ้ามี  แม้แต่ในเรื่องของความรู้สึกส่วนตัวที่เป็นเรื่อง  “ธรรมชาติ”  เช่นเรื่องของเซ็กส์ก็ถูก “ควบคุม” โดยสังคม  คนที่ฝ่าฝืนมักถูกสังคมต่อต้านอย่างรุนแรง  ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับชายโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานกลายเป็นหญิงที่มี “มลทิน” ในบางสังคมซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย  นี่คือคุณลักษณะคร่าว ๆ  ของเบบี้บูมเมอร์ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนมากหรือน่าจะมากที่สุดในบรรดากลุ่มทั้งหลายที่ผมจะกล่าวต่อไป  ประเด็นก็คือ  บทบาทหรืออิทธิพลของพวกเขานั้นยังสูงยิ่ง  ไม่ว่าจะทางเศรษฐกิจ  สังคม  และการเมือง  อย่างไรก็ตาม  พวกเขาอาจจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว  นับวันก็จะถดถอยลงไปเรื่อย ๆ  ว่าที่จริง  นายกรัฐมนตรีของไทย 2 คนสุดท้ายของเรานั้น  ก็ไม่ได้เป็นพวกเบบี้บูมเมอร์แล้ว

          คนรุ่นต่อมาที่มีพฤติกรรมและแนวความคิดเปลี่ยนแปลงไปจากรุ่นเบบี้บูมนั้น  คือคนที่เกิดตั้งแต่ปี 1965 ซึ่งถือเป็น  “ลูกคนแรก”  ของพวกเบบี้บูม  จนถึงคนที่เกิดก่อนปี  1981 คิดเป็นเวลาประมาณ 16 ปี หรือถ้านับถึงวันนี้ก็คือคนที่มีอายุตั้งแต่ 31 ถึง 47 ปี  นี่คือกลุ่มที่เรียกว่า  “Generation X”  ซึ่งเป็นชื่อที่คนที่ศึกษาไม่รู้ว่าจะเรียกอะไรจึงใช้คำว่า X   คนกลุ่มนี้ถูก  “ค้นพบ”  เมื่อมีการศึกษาโดยนักเขียนอังกฤษชื่อ Jane Deverson ซึ่งได้รับมอบหมายให้ไปสำรวจและสอบถามความคิดของเด็กวัยรุ่นเพื่อตีพิมพ์ในแมกกาซีน  แต่สิ่งที่เธอพบนั้นกลับทำให้เธอ  “ขวัญผวา”  เพราะเธอพบว่าเด็กวัยรุ่นเหล่านั้นมีมุมมองและความคิดที่ขัดแย้งกับความเชื่อและความคิดเดิมอย่างรุนแรง  ตัวอย่างเช่น  พวกเขาส่วนใหญ่ไม่เคารพนับถือพ่อแม่  ไม่เชื่อในพระเจ้า  และหลับนอนกันก่อนแต่งงาน  แต่ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ  พวกเขาไม่ชอบ  “สถาบัน”  ซึ่งทำให้บทความนั้นไม่สามารถตีพิมพ์ในอังกฤษได้  และเพื่อให้บทความหรือผลการศึกษาไม่เสียเปล่า  เธอจึงไปร่วมเขียนเป็นหนังสือกับนาย Charles Hamblett ที่อเมริกาและตั้งชื่อว่า  Generation X

          คน Gen-X  นั้นมีแนวโน้มที่จะเป็นคน  “ต่อต้านสังคม” และ  “ต่อต้านสถาบัน”  พวกเขาอยากเป็นคนทำงาน  “อิสระ”  มากกว่าที่จะเป็นลูกจ้างบริษัทใหญ่ ๆ  ในทางสังคมนั้น  พวกเขาเห็นว่าการหย่าร้างเป็นเรื่องปกติ  การอยู่กินกันโดยไม่แต่งงานก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเช่นเดียวกับการเป็นเกย์หรือเลสเบียน   ยุคนี้เป็นช่วงที่เทคโนโลยีทางด้านข่าวสารข้อมูลและอินเตอร์เน็ตกำเนิดขึ้น  ดังนั้นพวกเขาจึงคุ้นเคยและใช้มันได้อย่างมีประสิทธิภาพ  การค้นหาข้อมูลและความรู้ทำได้แค่ปลายนิ้ว  ผลจากความก้าวหน้าทางด้าน IT ทำให้การก่อตั้งกิจการขนาดย่อมเกิดขึ้นมากมายจากคนเจนเอ็กซ์  พวกเขาเป็นนักคิดสร้างสรรค์ที่สร้างผลงานใหม่ ๆ  มากมายให้กับโลกและกล้าที่จะทดลองสิ่งใหม่ ๆ  โดยไม่มีข้อจำกัด  ในทางสังคมและการเมือง  คนรุ่น Gen X นั้น เน้น  “ความเท่าเทียม”  กันสูง  ผู้หญิงไม่ยอมเป็น  “ช้างเท้าหลัง” อีกต่อไป  ความสามารถในการพึ่งพาตนเองทำให้คนรุ่นนี้มีลูกน้อย  บางทีก็ไม่ต้องการเลย

          คนรุ่นต่อมาคือ Gen Y  นี่คือ  “เด็กรุ่นใหม่” ที่เกิดจากคนรุ่นเบบี้บูมหลังจากปี 1981 จนถึงปี 1997 ซึ่งก็คือคนที่มีอายุตั้งแต่ 15 ถึง 31 ปี   นี่คือคนที่เกิดมาก็มีระบบอินเตอร์เน็ตใช้กันอย่างกว้างขวางแล้ว  ดังนั้น  พวกเขาไม่คุ้นเคยกับแนวทางชีวิตของคนรุ่นเก่าเลย   เพื่อนของเขาส่วนใหญ่ติดต่อกันผ่านทางการส่งข้อมูลผ่านโทรศัพท์มือถือ  พวกเขาไม่ดูทีวีหรือดู “หนังแผ่น” แต่ใช้วิธีดาวน์โหลดภาพยนต์จากอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก  คน Gen-Y นั้น  มีความเป็น  “สากล”  มาก  การมีเพื่อนที่เป็นคนต่างชาติและต่างวัฒนธรรมเป็นเรื่องปกติเช่นเดียวกับการมีแฟนเป็นคนต่างชาติ  การนิยมชมชอบวัฒนธรรมหรือศิลปินจากต่างชาติก็เป็นเรื่องธรรมดาเช่นกัน   พวกเขา  “ไม่ต่อต้านสถาบัน”  แต่ใช้วิธี  “หลีกเลี่ยง” มากกว่า  คน Gen-Y นั้น  เป็นพวกที่มีจินตนาการสูง  พวกเขาสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ  ในด้านของงานอาชีพ  พวกเขาชอบทำงานในด้านของ IT และธุรกิจทางด้านความบันเทิงมากกว่างาน “ใช้มือ” อย่างอื่น  ที่สำคัญ  พวกเขาอยากทำงานที่ทำให้  รวยเร็วหรือดังเร็ว  การเงินก็เป็นหนึ่งในนั้น

          ผมคงไม่พูดถึง Gen Z ซึ่งก็คือเด็กที่อายุไม่ถึง 15 ปี ในปัจจุบันซึ่งเป็นหลานของเบบี้บูม  แต่จะพูดถึงนักลงทุนที่เป็น VI ในประเทศไทย  เหตุผลก็เพราะว่าจากการสังเกตผมพบว่า  VI  ไทยที่ประสบความสำเร็จสูงและมีพอร์ตขนาดใหญ่มากเมื่อเทียบกับอายุนั้น  ส่วนใหญ่แล้วเป็นคน  Gen-X  ซึ่งก็คือ VI ที่มีอายุระหว่าง 31- 47   คนกลุ่มนี้ผมคิดว่าอยู่ในสถานะที่  “ได้เปรียบที่สุด”  ในการลงทุนในตลาดหุ้นไทย  เหตุผลก็คือ  หนึ่งพวกเขาเป็นลูกของเบบี้บูมที่ได้สะสมความมั่งคั่งไว้มากพอที่จะให้ลูกได้เริ่มลงทุนอย่างเต็มที่ได้  ข้อสอง  พวกเขาเป็นนักลงทุนที่มักจะไม่ได้ผ่านเหตุวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540  ดังนั้น  พวกเขาเข้าตลาดในช่วงที่ตลาดหุ้นเติบโตอย่างรวดเร็วและมั่นคงมากตลอดมา  ข้อสาม  พวกเขาได้เรียนรู้หลักการ VI มาตั้งแต่เริ่มเข้าตลาด  ดังนั้น  จึงมีหลักการการลงทุนที่ถูกต้องมาตั้งแต่แรก  และข้อสุดท้ายที่ผมจะพูดก็คือ  พวกเขาเป็นคนที่ไม่ติดยึดกับอะไรที่เป็น “สถาบัน”  พวกเขาไม่คิดว่าจะต้องทำงานและเติบโตตามระบบหรือในบริษัทขนาดใหญ่  ตรงกันข้าม  พวกเขาอยากเป็น “อิสระ” โดยการทำธุรกิจเช่น  ตั้งบริษัทขนาดเล็กและเป็นตัวของตัวเอง  หลายคนมองว่าการลงทุนในตลาดหุ้นแบบ VI เป็นหนทางแห่งความสำเร็จทางหนึ่ง  และโชคดี  หลายคนได้บรรลุความฝันนั้น



INFO: โลกในมุมมองของ Value Investor, ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร, http://portal.settrade.com/blog/nivate/2012/11/26/1206