ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
เวลาผมวิเคราะห์หาหุ้นเพื่อลงทุนนั้น ผมมักจะคิดถึงเรื่องของสงคราม เหตุผลก็คือ ผมต้องการหาบริษัทที่จะเติบโตไปได้ในระยะยาว และบริษัทที่จะรุ่งเรืองเฟื่องฟูไปได้ยาวนานนั้น จะต้องเป็นบริษัทที่ “ชนะ” ในการแข่งขันทางธุรกิจในอุตสาหกรรมหรือธุรกิจที่บริษัททำอยู่ การแข่งขัน หรือที่ผมอยากจะเรียกให้มันใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้นก็คือ การ “ต่อสู้” ทางธุรกิจนั้น มักจะมีความเข้มข้นสูงมาก เป็นลักษณะที่ “เอาเป็นเอาตาย” ไม่มีใครปราณีใคร “ผู้แพ้” นั้น บ่อยครั้งก็ล้มหายตายจากออกจากธุรกิจไปเลย ดังนั้น ถ้าเปรียบเทียบไปแล้วก็คล้าย ๆ กับการสงครามที่มีการสู้รบกันรุนแรง ผู้ชนะจะเป็นผู้ยึดครองและได้ทรัพยากรไว้ในครอบครอง เช่นเดียวกับบริษัทที่เป็นผู้ชนะก็จะได้ลูกค้าได้ยอดขายและทำกำไรได้มากซึ่งก็จะทำให้หุ้นมีค่ามหาศาล
กฎของการรบและสงครามของ คาร์ล วอน คลอสวิตซ์ “บิดาแห่งการสงคราม” นั้น สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับเรื่องของการแข่งขันทางธุรกิจได้และผมก็ใช้อยู่เสมอ ลองมาดูกันว่าเวลาวิเคราะห์การแข่งขันของธุรกิจแต่ละอย่างผมทำอย่างไร?
กฎข้อแรกของสงครามที่ผมจะเริ่มก็คือ ในการรบนั้น เราจะต้องกำหนดหรือมองดูว่า สนามรบอยู่ที่ไหน ใครยึดชัยภูมิไหนอยู่ อุปนิสัยของแม่ทัพแต่ละฝ่ายเป็นอย่างไร เราจะต้องเข้าใจตรงนี้ก่อนถึงจะรู้ว่าใครได้เปรียบและใครอยู่ในชัยภูมิที่เสียเปรียบ และพอจะคาดได้ว่ากลยุทธ์ในการศึกจะเป็นอย่างไร และสุดท้ายใครน่าจะเป็นฝ่ายชนะ ในทำนองเดียวกัน ในเรื่องของธุรกิจนั้น ผมก็จะต้อง “ขีดวง” ให้ชัดเจนก่อนว่า “สนามรบ” อยู่ที่ไหน นั่นก็คือ ตัวสินค้าหรือผลิตภัณฑ์คืออะไร ใครเป็นลูกค้าเช่น เป็นคนรายได้สูงหรือรายได้ต่ำ หรือเป็นเด็กหรือเป็นผู้หญิง หรืออยู่ในอาณาบริเวณไหน เป็นต้น ต่อจากนั้น ผมก็จะมาดูว่าบริษัทไหนยึด “ชัยภูมิ” ไหนอยู่และชัยภูมินั้นได้เปรียบหรือเสียเปรียบ คำว่าชัยภูมินั้น ในทางธุรกิจก็คือ มันอยู่ที่จุดไหน “ในใจ” ของผู้บริโภคที่เป็นลูกค้าของบริษัท ชัยภูมิที่ได้เปรียบและแข็งแกร่งเหมือนกับอยู่บนภูเขาในสงครามก็เช่น เป็นบริษัทที่เป็น “อันดับหนึ่ง” หรือสินค้าของบริษัทนั้น “หรูที่สุด” หรือ บริษัทหรือร้านของบริษัทมีสินค้า “ครบที่สุด” ในที่เดียว เป็นต้น
ในการวิเคราะห์เรื่องสนามรบและการรบนั้น เราต้องดูว่ากลยุทธ์ของแต่ละบริษัทนั้นเป็นอย่างไร นี่ก็คือ เราต้องดูไปถึงแม่ทัพหรือผู้บริหารว่าเขาทำอย่างไร กลยุทธ์นั้นถูกต้องหรือไม่ เขาทุ่มเทกับการรบในสนามหลักหรือเขามักชอบที่จะ “เปิดแนวรบใหม่ ๆ” ไปในจุดที่เขาไม่คุ้นเคยหรือเสียเปรียบหรือไม่ ถ้าเขาทำอย่างนั้นโอกาสที่จะชนะสงครามจะมีแค่ไหน ถ้าเราดูแล้วรู้สึกว่ากลยุทธ์เหล่านั้นไม่ถูกต้องและจะทำให้เสียหายหนัก เราก็จะต้องระมัดระวังหรือหลีกเลี่ยงบริษัทนั้น ว่าที่จริงในเรื่องของการวิเคราะห์ตัวแม่ทัพหรือผู้บริหารนั้น ผมจะมองไปถึงเรื่องของ “คุณธรรม” หรือคุณสมบัติและนิสัยอีกหลายอย่าง รวมถึงอายุและความเป็นคน “หัวอนุรักษ์” หรือเป็นคน “หัวก้าวหน้า” ด้วย เพราะผมคิดว่าเรื่องเหล่านี้มีความสำคัญต่อการที่บริษัทจะชนะหรือแพ้ในการรบหรือการต่อสู้ทางธุรกิจ
การวิเคราะห์ว่าใครจะชนะหรือแพ้ในการรบหรือการแข่งขันทางธุรกิจนั้น ผมจะยึดกฎของการสงครามข้อที่สองนั่นก็คือ ในสนามรบที่เราได้ขีดวงไว้แล้วนั้น ฝ่ายไหนมีทรัพยากรมากกว่าฝ่ายนั้นก็จะเป็นผู้ชนะ ทรัพยากรของสงครามนั้นก็คือ กำลังทหารและอาวุธต่าง ๆ กองทัพที่มี “อำนาจการยิง” ที่เหนือกว่าจะเป็นฝ่ายชนะ ดังนั้น ในการศึกแต่ละครั้ง แม่ทัพที่มีความสามารถก็คือคนที่สามารถทุ่มสรรพกำลังเข้าไปในสนามรบมากกว่าศัตรู ดังนั้น กองทัพที่ใหญ่โตแต่ไม่ได้อยู่ในสนามรบก็ไม่สามารถชนะศึกได้ กองทัพที่เล็กแต่ทุ่มกำลังเข้าไปในจุดที่สู้รบได้มากกว่ากลับเป็นฝ่ายชนะ ถ้าจะเปรียบกับธุรกิจก็ลองนึกไปถึงบริษัทค้าปลีกขนาดใหญ่ของโลกนั้น ถ้าจะเข้ามาแข่งขันกับร้านค้าปลีกที่ยึดทำเลและมีธุรกิจที่แข็งแกร่งในเมืองไทยก็จะเห็นภาพชัด นั่นก็คือ บริษัทระดับโลกนั้นไม่ได้มีทรัพยากรในท้องถิ่นไทยพอ ดังนั้นถ้าเข้ามารบหรือมาแข่งขันก็จะแพ้ตามกฎของสงครามข้อนี้ ซึ่งประวัติศาสตร์ก็บอกเราตลอดเวลาว่า ประเทศที่ใหญ่โตเป็นมหาอำนาจอย่างอเมริกาก็ไม่สามารถรบชนะเวียตนามในสนามรบประเทศเวียตนามได้ทั้งนี้เพราะอเมริกาไม่สามารถระดมทรัพยากรเข้าไปในป่าดงดิบได้ เช่นเดียวกัน เราเห็นบริษัทระดับโลกที่พ่ายแพ้ต้องถอนตัวออกจากประเทศที่กำลังพัฒนามากมายทั้ง ๆ ที่บริษัทท้องถิ่นมีขนาดที่เล็กกว่ามาก
กฎข้อที่สองของสงครามนั้น เรามองเฉพาะในกรณีที่ ทำเลของกองทัพแต่ละฝ่ายเสมอกันและกองทัพเข้าประจันบานกัน แต่ในสงครามนั้นมีเรื่องของชัยภูมิและการเป็นฝ่ายรุกที่ต้องเคลื่อนไหวหรือเป็นฝ่ายตั้งรับที่สามารถตระเตรียมและยึดชัยภูมิที่ดีกว่าไว้หรือไม่ ดังนั้น กฎข้อที่สามของสงครามก็คือ ฝ่ายที่ตั้งรับย่อมแข็งแกร่งกว่าฝ่ายที่รุกรบ และถ้าฝ่ายที่รุกต้องการชนะสงครามก็จะต้องใช้กำลังพลหรืออำนาจการยิงเป็นสามเท่าของฝ่ายที่ตั้งรับ กฎข้อนี้ถ้านำมาประยุกต์กับการแข่งขันทางธุรกิจก็คือ บริษัทที่สามารถสร้าง “ฐาน” ได้ในระดับหนึ่งหรือกลายเป็นผู้นำในธุรกิจหนึ่งแล้วก็จะเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่จะเข้ามาแข่งขัน เพราะถ้าคนใหม่จะเอาชนะได้นั้น ไม่ใช่แค่ว่าจะมีอำนาจการยิงหรือทรัพยากรที่เหนือกว่าเท่านั้น จะต้องมีเหนือกว่าหลายเท่าถึงจะเอาชนะได้ แต่นี่ก็คงต้องมองไปถึงสนามรบด้วยว่าโดยธรรมชาติของมันเป็นสนามที่สามารถ “ตั้งค่าย” หรือมี “คูเมือง” ป้องกันข้าศึกได้หรือไม่ ถ้าไม่มี ฝ่ายรุกก็อาจจะไม่จำเป็นต้องมีทรัพยากรเป็นสามเท่าถึงจะเอาชนะได้ และนี่นำเรากลับไปที่กฎข้อที่หนึ่งของสงครามที่ว่าเราต้องวิเคราะห์สนามรบและชัยภูมิว่ามันเป็นป่าเขา ลุ่มน้ำ หรือที่ราบ
ในสนามรบที่เป็นที่ราบกว้างใหญ่นั้น ผู้ชนะส่วนใหญ่ก็ต้องอาศัย ฝีมือและความสามารถของทหารรวมถึงกลยุทธ์ที่แม่ทัพใช้ ในบางช่วงบางตอนก็จะมีผู้ชนะที่เกรียงไกรสามารถครองพื้นที่กว้างขวาง ตัวอย่างในประวัติศาสตร์ก็อาจจะเป็นนักรบบนหลังม้าอย่างเจ็งกิสข่าน อย่างไรก็ตาม การรบ “บนหลังม้า” นั้น พวกเขาก็ไม่สามารถยึดชัยภูมิที่ดีและสร้างป้อมค่ายที่จะป้องกันข้าศึกในอนาคตได้ ดังนั้น ก็เป็นการยากที่กองทัพแบบนี้จะสามารถชนะต่อไปยาวนาน ซักวันหนึ่งก็อาจจะมีคนที่เข้ามาต่อสู้และเอาชนะได้ในที่สุด นี่ก็เปรียบเสมือนกับธุรกิจหรืออุตสาหกรรมบางอย่างโดยเฉพาะที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์หรือสินค้าที่ไม่สามารถสร้างความได้เปรียบในด้านของขนาด หรือความได้เปรียบในด้านอื่น ๆ ได้อย่างถาวรเพราะคู่แข่งสามารถเลียนแบบความสำเร็จได้ ในธุรกิจแบบนี้ ผู้ชนะก็มักจะเป็น “ผู้ชนะชั่วคราว” ราคาหุ้นที่ขึ้นไปก็มักจะเป็นการขึ้นชั่วคราว ดังนั้น ถ้าเราเลือกที่จะลงทุน เราก็จะต้องรู้ว่าจะ “ออก” เมื่อไร มิฉะนั้น เราอาจจะขาดทุนได้
ประเด็นสุดท้ายก็คือ เรื่องของธุรกิจนั้นก็เหมือนกับสงครามที่อาจจะมีผู้ชนะหลายรายเช่นเดียวกับผู้แพ้จำนวนมาก และผู้ชนะเองก็อาจจะเป็นศัตรูหรือเป็นมิตรกันได้ ประเด็นสำคัญก็คือ ผู้ชนะมักเป็นผู้ที่ทำลายฝ่ายผู้แพ้และอาจจะสู้กันเองด้วย ในเรื่องของธุรกิจก็เหมือนกัน กระบวนการแข่งขันนั้น ผู้ที่อ่อนแอจะถูก “กลืน” ก่อน จนกว่าผู้อ่อนแอจะหมด ผู้ที่แข็งแรงและ “ชนะ” จึงจะหันมาต่อสู้กันตรง ๆ
INFO: http://portal.settrade.com/blog/nivate/2012/09/20/1174
วันพฤหัสบดีที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2555
วันอังคารที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2555
SET 1300
SET มีโอกาสขึ้นไปแตะ 1300 (19/09/2012)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
ปัจจัยเก่าที่เป็นบวกผ่านไป ปัจจัยใหม่ที่เป็นลบกำลังจะเข้ามา ยืน 1270 จุด ยังมีโอกาสที่ตลาดปรับขึ้นทดสอบ 1300 จุด
SET ปรับขึ้นแรงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ของปีนี้ที่ระดับ 1,279 จุด เป็นไปตามทิศทางเดียวกันกับตลาดหุ้นทั่วโลกจากการขานรับผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) หลังประกาศใช้มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณรอบ 3 (QE3) ด้วยการเข้าซื้อพันธบัตรวงเงิน 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ/เดือน และยังคงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ในระดับต่ำเป็นพิเศษ ซึ่งขยายเวลาออกไปจนถึงกลางปี 58
ปัจจัยต่างประเทศ (-) เรามองความขัดแย้งของประเทศมหาอำนาจ (จีน และ สหรัฐ) เป็นปัจจัยลบระยะสั้นที่ต้องจับต่างมองโดยเฉพาะการชุมนุมประท้วงของชาวมุสลิมในประเทศกลุ่มอาหรับ ได้แก่ ลิเบีย เยเมน ตุนนีเซีย อียิปต์ เพื่อประท้วงภาพยนตร์ซึ่งสร้างโดยชาวอเมริกันและมีเนื้อหาดูหมิ่นศาสดาของศาสนาอิสลาม ทำให้เกิดเหตุการณ์สังหารเอกอัครราชทูตของสหรัฐฯในลิเบียและเผาสถานทูตสหรัฐฯหลายแห่ง นอกจากนี้ยังมีความขัดแย้งระหว่างจีนและญี่ปุ่น หลังจากที่ชาวจีนไม่พอใจภายหลังรัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจซื้อเกาะเตียวหยู หรือ เซนกากุ ที่เป็นเกาะพิพาทในทะเลจีนใต้ ทำให้เกิดการประท้วงหน้าสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่น
บล.เกียรตินาคิน
กรุงศรีมอง SET แตะ 1,300 จุด ศก.ไทยแข็งแกร่ง-บจ.กำไรดี
บลจ.กรุงศรีประเมินภาพรวมตลาดหุ้นไทยยังเติบโตต่อ วางเป้าดัชนีไว้ที่ 1,300 จุด แม้ความผันผวนยังอยู่แต่เชื่อว่าจะผ่านจุดนั้นไปได้ หลังครึ่งหลังที่เหลือปัญหาหนี้ยุโรปเริ่มเบาบาง และที่สำคัญหากกรีซทำ haircut ปัญหาจะเริ่มผ่อนคลาย พร้อมเผยมีเเผนออกกองทุนหุ้นที่เน้นลงทุนใน AEC โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าเกษตร กลุ่มพลังงาน และกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
นายประภาส ตันพิบูลย์ศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงศรี จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดหุ้นในช่วงนี้จะมีแต่ข่าวร้าย ไม่ว่าจะเป็นการแก้ปัญหาหนี้ยุโรป การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน รวมถึงการแก้ปัญหาเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นเป็นปัจจัยสำคัญกระทบตลาดหุ้นยังมีอยู่ เพียงแต่มีการปล่อยพัฒนาการในการแก้ปัญหาออกมาตลอดทำให้ดัชนีตลาดหุ้นไม่ลดลงไปมาก
ในส่วนของตลาดหุ้นไทยก็ยังมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเมื่อเทียบกับปี 2554 ความผันผวนของหุ้นไทยอยู่ที่ 25% โดยดัชนีปิดตลาดเมื่อปลายปีอยู่ที่ 1,030 จุด ซึ่งดัชนีก็ไม่ต่ำกว่านั้นเลย หากเราเอาดัชนีที่ 1,030 จุดเป็นจุดต่ำสุดเราก็มองว่าจะได้เห็นดัชนีที่ 1,250-1,280 จุดท่ามกลางความผันผวนของตลาด ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นดัชนีที่ 1,300 จุดเช่นกัน ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลือผ่านปัญหาหนี้ยุโรปจะเบาบางลง และหากมีการยอมให้ปรับลดมูลค่าพันธบัตรของกรีซ หรือการทำ haircut ออกไปสถานการณ์น่าจะดีขึ้น
ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจจีนที่คาดกันไว้ว่าจะต่ำสุดในไตรมาสที่ 2 นั้นอาจจะไม่ใช่ ซึ่งอาจจะต้องมาตามในไตรมาสที่ 3 ว่าจะต่ำสุดที่เท่าไร ซึ่งอาจจะได้เห็นมาตรการทางการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น ในขณะที่ไตรมาส 4 หลายคนก็ยังมองว่าเศรษฐกิจน่าจะดีเลย์อีกจนถึง 1-2 ไตรมาสของปี 2556 โดยช่วงไตรมาสที่ 3 เป็นต้นไปจึงจะมีภาพมุมมองเป็นเชิงบวก
"เรายังคงมุมมองว่าตลาดหุ้นไทยอาจมีลุ้นไปที่ 1,700 จุดภายใน 1-2 ปีนี้ เพราะหุ้นไทยมีความแข็งแกร่งหากย้อนกลับไปดูตั้งแต่ปี 2009 เรื่อยมาจนถึงปี 2012 ซึ่งสถานการณ์ต่อจากนี้อัตราดอกเบี้ยจะอยู่ในระดับต่ำ การลงทุนจะมีมากขึ้น การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานก็เพิ่มขึ้น การเติบโตสินเชื่อก็มีมากขึ้น เห็นได้จากธนาคารหลายแห่งเริ่มมีการขอเพิ่มทุน ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน 15% และมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อได้อีก สมัยก่อนหุ้นไทยมี standard duration ประมาณ 30% แต่ปัจจุบันอยู่ที่ 25-26%"
นายประภาสกล่าวต่อว่า สำหรับการจัดพอร์ตกองทุนหุ้นของ บลจ.กรุงศรีนั้น เราได้ถือหุ้นบริษัทขนาดเล็กที่น่าสนใจเช่นกันแต่เราก็ไม่ได้ให้น้ำหนักมากเท่าใดนัก เนื่องจากเรามองว่าสภาพคล่องของบริษัทมีค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับการลงทุนของกองทุน และที่สำคัญความเสี่ยงค่อนข้างสูงด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้เรามีแผนที่จะออกกองทุนหุ้น โดยเป็นการลงทุนตรงในประเทศประชาคมอาเซียน (เออีซี) ซึ่งแต่ละประเทศมีจุดเด่นที่แตกต่างกัน โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา คาดว่าจะสามารถออกกองทุนได้โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงปี 2558 ทั้งนี้ในแต่ละประเทศจะมีจุดแข็งของเขา ซึ่งเราจะลงทุนในหุ้นระดับท็อปของแต่ละประเทศ ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นจุดแข็ง เช่น กลุ่มสินค้าเกษตรในประเทศมาเลเซีย และ ฟิลิปปินส์ กลุ่มพลังงานในประเทศอินโดนีเซีย กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ในประเทศเกาหลีใต้
อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่า บลจ.กรุงศรีมีศักยภาพที่จะลงทุนโดยตรงในตลาดหุ้นต่างประเทศได้ โดยที่ผ่านมาในการคัดเลือกหุ้นในประเทศจะพิจารณาเปรียบเทียบกับหุ้นต่างประเทศอยู่แล้ว ซึ่งในอดีตเรามองดูหุ้นไทยก็มองเฉพาะในมุมมองของเรา แต่ตอนนี้เราเริ่มมองดูว่าต่างประเทศเขาเป็นอย่างไร เพื่อประเมินด้วยว่านักลงทุนต่างชาติมองหุ้นไทยอย่างไร เพราะเขามีตัวเลือกลงทุนมากกว่าแค่หุ้นในประเทศไทย
บลจ.กรุงศรี
วันพฤหัสบดีที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2555
เฟดงัด QE3 กระตุ้นเศรษฐกิจอันย่ำแย่
เอเอฟพี - ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) วานนี้ (13)
ลงมือกระตุ้นเศรษฐกิจอีกรอบ ด้วยการออกมาตรการ QE3
ประกาศซื้อพันธบัตรรอบใหม่วงเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน
โดยมีเป้าหมายหั่นอัตราดอกเบี้ยระยะยาว
พร้อมกันนั้นยังปรับลดประมาณการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2012 ของประเทศลง
เฟด ยังส่งสัญญาณด้วยว่ามาตรการผ่อนคลายทางการเงินนี้จะนำมาใช้จนกว่าพบเห็นทิศ ทางที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปเป็นร่างในตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่เวลานี้ตัวเลขคนว่างงานยังสูงถึงร้อยละ 8.1
ในถ้อยแถลง เฟดชี้ให้เห็นถึงการเติบโตที่อ่อนแอของเศรษฐกิจและความเฉื่อยชาในตลาดงาน ดังนั้นจึงจะอัดฉีดเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์ ในตราสารหนี้ประเภทที่มีหลักทรัพย์จำนองค้ำประกันในแต่ละเดือน ในปฏิบัติการแบบเปิดที่มีเป้าหมายสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัยพ์อันร่อแร่
ถ้อยแถลงของเฟดระบุว่า มาตรการเเหล่านี้จะช่วยลดความกดดันต่อดอกเบี้ยระยะยาว สนับสนุนตลาดสินเชื่อและช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินให้ผ่อนคลายมากยิ่ง ขึ้น
นอกจากนี้แล้ว คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee : FOMC) ยังขยายมาตรการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเฉียดร้อยละศูนย์ไปจนถึง ช่วงกลางปี 2015 ยาวนานกว่าเคยประกาศก่อนหน้านี้กว่า 6 เดือน
“ถ้าแนวโน้มตลาดแรงงานยังไม่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปเป็นร่าง คณะกรรมการกำหนดนโยบาย ก็จะดำเนินการเข้าซื้อตราสารหนี้ประเภทที่มีหลักทรัพย์จำนองค้ำประกันต่อไป รวมถึงอาจเข้าซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติมและใช้เครื่องมือทางนโยบายอื่นๆ ตามสมควร จนกระทั่งจะบรรลุเป้าหมาย พบเห็นเสถียรภาพด้านราคาดีขึ้นอย่างชัดเจน”
ส่วน นายเบน เบอร์นันกี ประธานเฟดบอกกับผู้สื่อข่าวว่าสถานการณ์การจ้างงานของประเทศยังคงน่ากังวล อย่างยิ่ง พร้อมระบุว่า “ตลาดงานที่อ่อนแอ ได้สร้างความวิตกแก่อเมริกันชนทุกคน”
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศยังคงขยายตัวเล็กน้อย ทว่าอัตราการลงทุนในภาคธุรกิจเฉื่อยชาลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นยังได้ปรับลดอัตราการเติบโตในปีนี้ลงเหลือร้อยละ 1.7-2.0 จากเดิมที่เคยประมาณการณ์ไว้ที่ 1.9-2.4 แม้จะคาดหมายว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวถึงร้อยละ 2.5-3.0 ในปี 2013
คำแถลงของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินยังแสดงความกังวลด้วยว่า หากปราศจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม เศรษฐกิจอาจไม่เติบโตเพียงพอที่จะช่วยให้สภาพของตลาดแรงงานดีขึ้นอย่างเป็น เนื้อเป็นหนัง และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็ยังอ่อนแอเกินไปที่จะรับมือกับวิกฤตการเงินโลกที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากวิกฤตหนี้ยูโรโซน
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน คาดหมายว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯจะยังคงอยู่ในความควบคุม โดยอยู่ในระดับหรือต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 2.0 ที่เฟดวางเอาไว้
ด้านผู้เชี่ยวชาญไม่รู้สึกประหลาดใจต่อความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของเฟด โดยเฉพาะหากวิเคราห์ตามอัตราและรายละเอียดการเติบโตทางเศษฐกิจของสหรัฐฯ “เจ้าหน้าที่ของเฟดหลายคน อยากจะลงมือตอนนี้เพื่อซื้อความอุ่นใจต่อภาวะถดถอยเพิ่มเติม” ฮาร์ม บันด์โฮล์ซ จากยูนิเครดิตระบุ กระนั้นเขาบอกว่ามาตรการใหม่นี้อาจไม่ก่อผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากยังคงมีปัจจัยความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจากภายนอกทั้งยุโรปและจีน รวมถึงการเจรจาเกี่ยวกับตัดลบงบประมาณที่ยังไร้ทางออกระหว่างเดโมแครตกับรี พับลิกัน
เฟด ยังส่งสัญญาณด้วยว่ามาตรการผ่อนคลายทางการเงินนี้จะนำมาใช้จนกว่าพบเห็นทิศ ทางที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปเป็นร่างในตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่เวลานี้ตัวเลขคนว่างงานยังสูงถึงร้อยละ 8.1
ในถ้อยแถลง เฟดชี้ให้เห็นถึงการเติบโตที่อ่อนแอของเศรษฐกิจและความเฉื่อยชาในตลาดงาน ดังนั้นจึงจะอัดฉีดเงิน 40,000 ล้านดอลลาร์ ในตราสารหนี้ประเภทที่มีหลักทรัพย์จำนองค้ำประกันในแต่ละเดือน ในปฏิบัติการแบบเปิดที่มีเป้าหมายสนับสนุนภาคอสังหาริมทรัยพ์อันร่อแร่
ถ้อยแถลงของเฟดระบุว่า มาตรการเเหล่านี้จะช่วยลดความกดดันต่อดอกเบี้ยระยะยาว สนับสนุนตลาดสินเชื่อและช่วยสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินให้ผ่อนคลายมากยิ่ง ขึ้น
นอกจากนี้แล้ว คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee : FOMC) ยังขยายมาตรการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเฉียดร้อยละศูนย์ไปจนถึง ช่วงกลางปี 2015 ยาวนานกว่าเคยประกาศก่อนหน้านี้กว่า 6 เดือน
“ถ้าแนวโน้มตลาดแรงงานยังไม่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปเป็นร่าง คณะกรรมการกำหนดนโยบาย ก็จะดำเนินการเข้าซื้อตราสารหนี้ประเภทที่มีหลักทรัพย์จำนองค้ำประกันต่อไป รวมถึงอาจเข้าซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติมและใช้เครื่องมือทางนโยบายอื่นๆ ตามสมควร จนกระทั่งจะบรรลุเป้าหมาย พบเห็นเสถียรภาพด้านราคาดีขึ้นอย่างชัดเจน”
ส่วน นายเบน เบอร์นันกี ประธานเฟดบอกกับผู้สื่อข่าวว่าสถานการณ์การจ้างงานของประเทศยังคงน่ากังวล อย่างยิ่ง พร้อมระบุว่า “ตลาดงานที่อ่อนแอ ได้สร้างความวิตกแก่อเมริกันชนทุกคน”
คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินระบุว่า เศรษฐกิจของประเทศยังคงขยายตัวเล็กน้อย ทว่าอัตราการลงทุนในภาคธุรกิจเฉื่อยชาลงเรื่อยๆ พร้อมกันนั้นยังได้ปรับลดอัตราการเติบโตในปีนี้ลงเหลือร้อยละ 1.7-2.0 จากเดิมที่เคยประมาณการณ์ไว้ที่ 1.9-2.4 แม้จะคาดหมายว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวถึงร้อยละ 2.5-3.0 ในปี 2013
คำแถลงของคณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินยังแสดงความกังวลด้วยว่า หากปราศจากนโยบายผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม เศรษฐกิจอาจไม่เติบโตเพียงพอที่จะช่วยให้สภาพของตลาดแรงงานดีขึ้นอย่างเป็น เนื้อเป็นหนัง และเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ก็ยังอ่อนแอเกินไปที่จะรับมือกับวิกฤตการเงินโลกที่กำลังดำเนินอยู่ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลจากวิกฤตหนี้ยูโรโซน
อย่างไรก็ตาม คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน คาดหมายว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯจะยังคงอยู่ในความควบคุม โดยอยู่ในระดับหรือต่ำกว่าเป้าหมายร้อยละ 2.0 ที่เฟดวางเอาไว้
ด้านผู้เชี่ยวชาญไม่รู้สึกประหลาดใจต่อความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของเฟด โดยเฉพาะหากวิเคราห์ตามอัตราและรายละเอียดการเติบโตทางเศษฐกิจของสหรัฐฯ “เจ้าหน้าที่ของเฟดหลายคน อยากจะลงมือตอนนี้เพื่อซื้อความอุ่นใจต่อภาวะถดถอยเพิ่มเติม” ฮาร์ม บันด์โฮล์ซ จากยูนิเครดิตระบุ กระนั้นเขาบอกว่ามาตรการใหม่นี้อาจไม่ก่อผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากยังคงมีปัจจัยความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจากภายนอกทั้งยุโรปและจีน รวมถึงการเจรจาเกี่ยวกับตัดลบงบประมาณที่ยังไร้ทางออกระหว่างเดโมแครตกับรี พับลิกัน
วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555
PJW นิ่ง! หลังทรุดหนักวานนี้ ลุ้นประมูลงาน ESSO ในจีน เป้า 7.24 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ปัญจวัฒนาพลาสติก จำกัด (มหาชน) หรือ PJW ล่าสุด ณ เวลา 16.14 น.อยู่ที่ 5.20 บาท ไม่เปลี่ยนแปลง มูลค่าการซื้อขาย 42.73 ล้านบาท ทั้งนี้ ราคาหุ้น PJW ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากระดับราคาต่ำกว่า 4 บาทเมื่อกลางเดือนก.ค. และปรับตัวขึ้นไปสูงสุดที่ 5.55 บาทเมื่อวันที่ 7 ก.ย.ที่ผ่านมาหรือปรับตัวขึ้นมากกว่า 39% ในช่วง 2 เดือนกว่า และปรับตัวลงแรงวานนี้ (10 ก.ย.)
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ผลประกอบการ PJW ได้ประโยชน์จากการขยายตัวโดดเด่นของตลาดยานยนต์ เนื่องจากรายได้ส่วนใหญ่มาจากการผลิตชิ้นส่วนพลาสติกในยานยนต์ (15% ของรายได้) และเมื่อยอดขายรถยนต์ในปีนี้จะทำรายได้ราว 1.15 ล้านคัน ย่อมสร้างอุปสงค์ในน้ำมันหล่อลื่นเติบโตต่อเนื่องในระยะยาวเป็นบวกต่อธุรกิจบรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่น (59%) ราคาหุ้นนับตั้งแต่ IPO เดือน ก.พ. 2555 ถึงวานนี้ปรับขึ้นเพียง 37% ขณะที่ราคาหุ้นอื่นที่มีความเกี่ยวข้องกับธุรกิจยานยนต์ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 60% YTD นอกจากนี้ในปี 2556 PJW ได้ขยายกำลังการผลิตอีก 30% ในส่วนของชิ้นส่วนรถยนต์พร้อมกับโอกาสได้รับงานจากการประมูลผลิตบรรจุภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นให้กับ ESSO ในจีน เป็น Upside เพิ่มเติมในอนาคต แนะนำ ซื้อเก็งกำไร ราคาเป้าหมายแบบอนุรักษ์นิยมที่ 7.24 บาท
INTUCH ระบุสนใจประมูลทีวีดิจิตอล 3 ช่อง ในปี 56 คาดใช้เงิน 2 พันลบ. ขณะที่ยื่นขอประมูล3G กับ กสทช. ไป 3 บริษัท
นายสมประสงค์ บุญยะชัย ประธานกรรมการบริหารและรักษาการ กรรมการผู้อำนวยการบมจ.ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือ INTUCH เปิดเผยว่าบริษัทฯ สนใจเข้าประมูลทีวีดิจิตอล 3 ช่องในปี 2556 จากที่จะเปิดทั้งหมด 50 ช่อง โดยคาดว่าจะต้องใช้เงินสำหรับค่
าใบอนุญาตประมาณ 2 พันล้านบาท โดยขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการท ำวิจัย เพื่อศึกษาความเหมาะสม คาดว่าจะได้ข้อสรุปปลายปีนี้
สำหรับการเข้าร่วมประมูลใบอนุญา ต 3G ว่า ขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะใช ้กี่บริษัทในการยื่นประมูล แต่ได้ขออนุญาตคณะกรรมการกิจการ วิทยุกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสท ช.)ไป 3 บริษัท เพื่อเตรียมความพร้อมในการประมู ลครั้งนี้
" หากมี 3G ก็จะทำให้การใช้ดาต้าเติบโตมากข ึ้น และยังช่วยเสริมเศรษฐกิจของประเ ทศให้เติบโต เนื่องจากมีการจ้างงานมากขึ้นแล ะรัฐบาลก็จะได้ประโยชน์จากรายได ้ภาษีนิติบุคคล ภาษีบุคคล รวมถึงรายได้จากการประมูลครั้งน ี้ด้วย" นายสมประสงค์ กล่าว
ทั้งนี้ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม(กทค. ) กำหนดวันเปิดประมูลใบอนุญาต 3G คลื่นความถี่ 2.1 กิกะเฮิร์ตซ์(GHz) ในวันที่ 16-18 ต.ค.นี้ และคาดว่าจะออกใบอนุญาตให้ผู้ชน ะการประมูลได้ในเดือนพ.ย.นี้
สำหรับการเข้าร่วมประมูลใบอนุญา
" หากมี 3G ก็จะทำให้การใช้ดาต้าเติบโตมากข
ทั้งนี้ คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม(กทค.
วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555
"อนันต์ กาญจนพาสน์" เก็บหุ้น BLAND 0.281% รวมถือ 20.14%
"อนันต์ กาญจนพาสน์" เก็บหุ้น BLAND 0.281% รวมถือ 20.14%
สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (23 ก.ค.
55)--สำนักงานคณะกรรมการกำกั บหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์( ก.ล.ต.)เปิดเผยว่า
ก.ล.ต.รายงานการได้มาหุ้นของ บมจ.บางกอกแลนด์(BLAND) โดยนายอนันต์
กาญจนพาสน์ ซึ่งเป็นการได้มาเมื่อวันที่ 19/07/2555
จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็น 0.281%
ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิ จการ จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้ มาคิดเป็น
20.1437% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิ จการ
--อินโฟเควสท์ โดย จารุวรรณ ไหมทอง/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์:
sasithorn@infoquest.co.th--
55)--สำนักงานคณะกรรมการกำกั
ก.ล.ต.รายงานการได้มาหุ้นของ บมจ.บางกอกแลนด์(BLAND) โดยนายอนันต์
กาญจนพาสน์ ซึ่งเป็นการได้มาเมื่อวันที่ 19/07/2555
จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็น 0.281%
ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิ
20.1437% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิ
--อินโฟเควสท์ โดย จารุวรรณ ไหมทอง/ศศิธร โทร.02-2535000 ต่อ 345 อีเมล์:
sasithorn@infoquest.co.th--
ARIP - บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน)
11/09/2012
ARIP - บริษัท เออาร์ไอพี จำกัด (มหาชน) http://www.aripplc.com/
แรงทดสอบ 1.38-1.40
พักตัวมาอยู่ที่แถวรับ มีโอกาสดีดกลับ
แนวรับ 1.30-1.26
แนวต้าน 1.35, 1.40, 1.45, 1.50
ข่าววันนี้ 11-09-2012
หุ้นไทยวานนี้ปิดบวก 4.83 จุด หรือ 0.39% มาปิดระดับ 1,250.93 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 28,045.95 ล้านบาท
- นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ +452.34 ล้านบาท
- บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ +15.42 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ +850.06 ล้านบาท
- นักลงทุนรายย่อยขายสุทธิ -1,317.82 ล้านบาท
นายวิกิจ ถิรวรรณรัตน์ ผู้จัดการสายงานวิจัย ลูกค้าบุคคล บล.บัวหลวง บอกในรายการหุ้นโค้งสุดท้ายว่า หุ้นไทยวานนี้เริ่มอ่อนตัวในช่วงการซื้อขายภาคบ่าย หลังตลาดหุ้นยุโรปเปิดลบ จากข่าวลบเมื่อวันศุกร์กรณีอิตาลีส่งสัญญาณไม่เข้าโครงการ Bond buying ของ ECB ขณะที่ตลาดฯให้ความสนใจกับการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด ซึ่งผลสำรวจส่วนใหญ่มีความเชื่อมากขึ้นว่าในการประชุม 12-13 ก.ย.นี้ เฟดจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยให้น้ำหนักเพิ่มเป็น 60%จากเดิม 45%
แต่อย่างไรก็ตาม จากอดีตที่ผ่านมาก่อนที่เฟดจะประกาศใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตลาดหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นรับข่าว และเมื่อรับรู้ข่าวแล้วตลาดฯจะปรับฐานประมาณ 10% ซึ่งมองว่ารอบนี้ตลาดซื้อเก็งกำไรมาพอสมควร ถ้ามีการประกาศออก QE3 จริง เชื่อว่าครั้งนี้น่าจะรับข่าว แต่สุดท้ายแล้วตลาดฯจะปรับตัวลดลงหลังจากนั้น อีกทั้งมองว่าเม็ดเงินที่ทำ QE3 น่าจะน้อยกว่ารอบ 2
ทั้งนี้แม้ว่าจะมี QE3 หรือ ไม่มี QE3 ก็น่าขาย เพราะมองตลาดฯเองน่าจะปรับฐานได้ ในกรณีที่รับรู้ข่าวจริง ขณะที่ P/E เทรดอยู่ที่กว่า 13 เท่า ใกล้เคียงสูงสุดที่ 14 เท่า ทำให้เริ่มมี Upside จำกัดและมีโอกาสปรับตัวลดลงได้
นายวิกิจ บอกอีกว่า ประเด็นที่ต้องติดตามสัปดาห์นี้ คือ ฝั่งยุโรปว่าเยอรมนีผ่านร่าง กฎหมาย ESM หรือไม่ และผลประชุม EU Committee
จากการรวบรวมของ Money Channel บริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ ให้กรอบการลงทุนทางด้านเทคนิคและหุ้นแนะนำในวันนี้ดังนี้
บล.ซีไอเอ็มบี(ไทย) ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,250-1,270จุด แนะลงทุนหุ้น SCB
บล.คันทรี่ กรุ๊ป ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,245-1,260 จุด แนะลงทุนหุ้น BIGC/TOG
บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส(ประเทศไทย) ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,240-1,260 จุด แนะลงทุนหุ้น AP
บล.ไอร่า ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,247-1,280 จุด แนะลงทุนหุ้น TCAP-IRPC
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง(ประเทศไทย) ให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีไว้ที่ 1,240-1,258(1,260) จุด แนะลงทุนหุ้น BIGC