วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

BTS - BT 7.50 - ซื้อ BTS-W2, หุ้นกู้แปลงสภาพ และแนวโน้มการ Upgrade

BTS-W2, หุ้นกู้แปลงสภาพ และแนวโน้มการ Upgrade

สถานะของ BTS-W2 กลับมาเป็น Out of the money แล้ว : จากราคาปิด BTS วานนี้ (21 ม.ค. 2556) ที่ 7.50 บาท/ หุ้น และราคาปิดของ BTS-W2 ที่ 0.59 บาท/ หุ้น เราพบว่า ปัจจุบันต้นทุนในการซื้อ BTS-W2 (อัตราส่วน 1 W : 0.16 C ราคาแปลงสภาพ 4.375 บาท/ หุ้น) เพื่อนำมาแปลงสภาพ (ครั้งถัดไปสิ้นเดือน มี.ค. 2556) จะอยู่ที่ราว 8.06 บาท/ หุ้น สูงกว่าการซื้อหุ้น BTS ในกระดานราว 7% และสูงกว่าราคาเหมาะสมของ Consensus ที่ 7.79 บาท/ หุ้น ราว 3.5% ขณะที่เมื่อคำนวณมูลค่าของ BTS-W2 ตามทฤษฎี Black-Scholes Model เราพบว่ามูลค่าตามทฤษฎีของ BTS-W2 จะอยู่ที่ 0.50 บาท/ หน่วย ดังนั้นราคาปิดของ BTS-W2 วานนี้ได้สะท้อนว่า BTS-W2 มีสูงกว่าราคาตามทฤษฎีแล้ว 15% และมีต้นทุนในการซื้อแล้วนำไปแปลงเป็นหุ้น BTS แพงกว่าการซื้อในกระดาน 7% ซึ่งเป็นไปได้ว่า นักลงทุนกำลังคาดหวังในทิศทางบวกของ BTS ที่ต่อเนื่องในอนาคต รวมถึงมีการเก็งกำไรระยะสั้นเข้ามาด้วย ดังนั้นนักลงทุนที่ลงทุนใน BTS-W2 จึงควรพิจารณาในประเด็นข้างต้นนี้ด้วย (ดูรายละเอียดตารางหน้า 2) 

แรงกดดันจากลูกหุ้นกำลังหมดแล้ว : เย็นวานนี้ BTS ได้รายงานว่ามีผู้ถือหุ้นกู้แปลงสภาพใช้สิทธิแปลงสภาพเข้ามาจำนวน 30 ล้านบาท ทำให้จะมีลูกหุ้น BTS เข้ามาซื้อขายในกระดานอีกราว 5.8 ล้านหุ้น ในวันที่ 23 มกราคมนี้ ซึ่งเรามองว่าแรงกดดันจากลูกหุ้นเหล่านี้จะมีไม่มากแล้วจากฐานจำนวนหุ้น BTS ที่ได้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 11,000 ล้านหุ้น ขณะที่ยังคงเหลือหุ้นกู้ฯชุดนี้เพียงราว 500 ล้านบาท หรือแปลงเป็นหุ้น BTS อีกได้เพียง 97 ล้านหุ้นเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าผู้ถือหุ้นกู้ฯชุดนี้จะใช้สิทธิทั้งหมดภายในกำหนด Put option สิ้นเดือนนี้

Upside ยังมี, อยู่ระหว่างทบทวนราคาเหมาะสมใหม่ : แม้ราคาหุ้น BTS จะปรับตัวขึ้น 64% นับแต่เรานำ BTS กลับเข้าสู่ coverage ในเดือน ก.ค. 2554 และให้คำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยประเด็นของการ Turnaround ของธุรกิจที่ผลักดันมาจากมุ่งเน้นการเดินรถไฟฟ้าแทนที่ธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งราคาหุ้นก็ได้สะท้อนเชิงบวกต่อทิศทางนี้แล้ว อย่างไรก็ดีแผนการจัดตั้งกองทุนโครงสร้างพื้นฐาน (BTSGIF) ที่กำลังเกิดขึ้นในไตรมาสแรกของปี กำลังจะเปิดโอกาสใหม่ให้ BTS จากการจะได้เงินทุนจำนวนที่สามารถนำไปขยายธุรกิจเดินรถไฟฟ้าในระยะยาวได้ ซึ่งความชัดเจนของการลงทุนใหม่เหล่านี้จะเพิ่ม upside ระยะยาวให้กับราคาเหมาะสมได้อีก ขณะที่ในระยะสั้นผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลพิเศษ จากเม็ดเงินที่เหลือที่เราคาดราว 1 หมื่นล้านบาท หลังการจัดตั้ง BTSGIF และรายจ่ายลงทุน คาดจะนำมาจ่ายปันผลพิเศษได้ราว 0.80-1.00 บาท/ หุ้น ให้ผลตอบแทนน่าพอใจ 10-13% ปัจจุบันเราอยู่ระหว่างศึกษาในประเด็นการลงทุนใหม่ เพื่อปรับปรุงราคาเหมาะสมขึ้นจาก Upside ดังกล่าว คำแนะนำเดิม "ซื้อ" ราคาเหมาะสม 7.57 บาท/ หุ้น อิง SOTP (หมายเหตุ BTS ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 24 ม.ค. เพื่อจ่ายปันผล 1H55/56 จำนวน 16.3 สตางค์/ หุ้น)


รายละเอียดโดยสรุป : BTS-W2 มีอายุคงเหลืออีก 293 วัน โดยจะหมดอายุในวันที่ 11 พฤศจิกายน 2556 ซึ่ง BTS-W2 นี้มีจำนวนทั้งสิ้น 5,027 ล้านหน่วย อัตราการใช้สิทธิ 1 Warrant : 0.16 Common share และมีราคาใช้สิทธิ 4.375 บาท/ 1 หุ้น BTS

*หมายเหตุ  นักลงทุนสามารถดาว์นโหลดเพื่อดูตาราง warrant สรุปเป็นประจำทุกวันได้ที่หน้าเว๊บไซต์ http://www.kelive.maybank-ke.co.th ในหัวข้อ DOWNLOADS

 
ตารางที่ 1 : คำนวณต้นทุนในการซื้อ BTS-W2 และนำไปใช้สิทธิแปลงสภาพ




INFO: http://kelive.maybank-ke.co.th/KimEng/servlet/MemberServlet?operation=Login&source=F&action=ViewStock&DBId=2&rid=19967&lang=2&more=1

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

BLAND เผยซื้อหุ้นอิมแพ็คเพิ่มส่งผลมูลค่าสินทรัพย์สูงขึ้น 0.76 บ./หุ้น

บมจ.บางกอกแลนด์(BLAND) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 16 ม.ค.56 บริษัทได้ชำระเงินงวดสุดท้ายจำนวน 2.1 พันล้านบาทให้แก่ผู้ขายและการซื้อหุ้น บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด(อิมแพ็ค) จำนวนร้อยละ 44.82 จากบริษัทเซ้าท์ อีส เอเชีย ออพพอตูนิตี้ ฟันด์ จำกัด เสร็จสมบูรณ์

จากผลของการทำการรายดังกล่าว ทำให้ปัจจุบันบริษัทเป็นเจ้าของหุ้นทั้งหมดของอิมแพ็ค และบริษัทจะบันทึกกำไรและส่วนของผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้นจำนวน 2.7 พันล้านบาท ซึ่งแสดงมูลค่าต่อหุ้นของบริษัทเท่ากับ 0.15 บาท ในงบการเงินไตรมาสที่ 4 สิ้นสุดวันที่ 31 มี.ค.56 ของบริษัท

นอกจากนี้เรื่องดังกล่าวข้างต้นแล้ว บริษัท ทีเอพี แวลูเอชั่น จำกัด บริษัทประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์อิสระได้ทำการประเมินราคาที่ดินและอาคารทั้งหมดของอิมแพ็คเสร็จสิ้นเมื่อเดือน ธ.ค.55 ในรายงานของผู้ประเมินราคาซึ่งออกเมื่อวันที่ 8 ม.ค.56 ให้การรับรองมูลค่าที่ดินและอาคารรวมทั้งหมดเป็นจำนวนเงิน 21.23 พันล้านบาท มูลค่าทางบัญชีที่ได้บันทึกไว้ในงบการเงิสรวมของบริษัทกับราคาประเมินแสดงการเพิ่มขึ้นของมูลค่าทรัพย์สินจำนวน 10.84 พันล้านบาท ซึ่งแสดงมูลค่าต่อหุ้นของบริษัทเท่ากับ 0.61 บาท

เมื่อนำผลจากการได้มาซึ่งหุ้นและการประเมินราคาอสังหาริมทรัพย์ มูลค่าทรัพย์สินรวมของบริษัทจะเพิ่มขึ้น 0.76 บาท/หุ้น


INFO: อินโฟเควสท์


เอกสารจาก www.set.or.th : การได้มาซึ่งหุ้นจำนวนร้อยละ 44.82 ของบริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด


ข่าวการวิเคราห์ที่ผ่านมา

วันพฤหัสบดีที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2556

SSI : บริษัท สหวิริยาสตีลอินดัสตรี จำกัด (มหาชน) เปลี่ยนมือหุ้น จาก NEZU CAPITAL เป็น HOLLY GROVE II LLC



SEC : สรุปแบบ 246-2 ประจำวันที่ 16 มกราคม 2556

สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ได้รับแบบรายงานการได้มา/จำหน่ายหลักทรัพย์ของกิจการ (แบบ 246-2) ซึ่งสรุปได้ ดังนี้

1. รายงานการจำหน่าย หุ้นของบมจ. เอฟโวลูชั่น แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)(listed)
โดย NEZU CAPITAL
ซึ่งเป็นการจำหน่าย  เมื่อวันที่ 27/12/2555
จำนวนหลักทรัพย์ที่จำหน่ายคิดเป็น  -7.64% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการจำหน่ายคิดเป็น  0.0% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ

2. รายงานการได้มา หุ้นของบมจ. เอฟโวลูชั่น แคปปิตอล จำกัด (มหาชน)(listed)
โดย HOLLY GROVE II LLC
ซึ่งเป็นการได้มา  เมื่อวันที่ 27/12/2555
จำนวนหลักทรัพย์ที่ได้มาคิดเป็น  7.64% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ
จำนวนหลักทรัพย์ภายหลังการได้มาคิดเป็น  7.64% ของสิทธิออกเสียงทั้งหมดของกิจการ


ท่านสามารถดูรายละเอียดจากเอกสารภาพได้ที่
http://capital.sec.or.th/webapp/corp_fin/daily246.php

จรัมพร เผยมีหุ้น 61 ตัว พี/อีสูงเกิน 40 เท่า ชี้ราคาพุ่งไม่มีเหตุผลและพื้นฐานรองรับ






นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยกับ FinanceThai.com ถึง สาเหตุที่ ตลท.ต้องทำหนังสือถึงบริษัทหลักทรัพย์

(บล.)ทุกแห่ง เพื่อขอความร่วมมือในการกำกับดูแลการซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีการเก็งกำไรสูงว่า ในช่วงที่ผ่านมา จากการตรวจสอบ พบว่า มีหุ้นที่มีอัตราราคาต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี) สูงเกิน 40 เท่า สูงถึง 61 ตัว ซึ่งรวมทั้งหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็ก และส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ไม่มีพื้นฐานที่ดีรองรับ

' มีที่ไหน หุ้น 61 ตัวพี/อี สูงเกิน 40 เท่า มันไม่สมเหตุสมผล เราจึงต้องเตือนโบรกเกอร์ให้ดูแลนักลงทุนดีๆว่า พี/อี สูงขนาดนี้บริษัทมีพื้นฐานรองรับที่ดีพอหรือไม่ เพราะการที่พี/อี สูง หมายความว่ากำไรของบริษัทต้องเติบโตขึ้นในทิศทางที่ดี แล้วหุ้นที่พี/อี สูงเกิน 40 เท่า มันมีกำไรที่ดีหรือไม่ ถ้าไม่มีกำไร ไม่มีพื้นฐานที่ดี ก็ไม่ควรไปลงทุน' นายจรัมพร กล่าว

ทั้งนี้ ตลท. มีมาตรการตรวจสอบและดูแลความเคลื่อนไหวราคาหุ้นตลอดเวลาอยู่แล้ว ซึ่งหากการขอความร่วมมือจากโบรกเกอร์ครั้งนี้ ไม่ทำให้ความร้อนแรงของราคาหุ้นลดลง

ตลท.ยังมีมาตรการคุมเข้มอื่น ๆ รองรับนอกเหนือจากมาตรการเบื้องต้น คือ การให้ลูกค้าซื้อขายผ่านบัญชีแคชบาลานซ์ และให้บริษัทชี้แจงข้อมูล (Trading Alert List)

อย่างไรก็ตาม นักลงทุนทุกคนควรใช้สติในการลงทุน โดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐานของธุรกิจบริษัทฯ เป็นหลัก และควรใช้เงินสดในการลงทุน ไม่ควรกู้ยืมเงินมาลงทุน เพื่อป้องกัน การเกิดปัญหาภายหลัง


เปิดโผ 65 หุ้น พี/อี สูงเกิน 40 เท่า

จากกรณีที่นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่ง
ประเทศไทย (ตลท.) ออกมาเปิดเผยว่า จากการตรวจสอบของ ตลท. พบว่า มีหุ้นที่มีอัตราราคา
ต่อกำไรต่อหุ้น(พี/อี) สูงเกิน 40 เท่า นั้น ทางทีมงาน eFinanceThai.com ได้ตรวจสอบข้อมูล
ณ วันที่ 16 มกราคม 2556 พบว่า มีทั้งสิ้น 65 หลักทรัพย์ที่มีพี/อี สูงเกิน 40 เท่า ดังนี้

หลักทรัพย์ พี/อี
A 42.02
AJ 40.61
AQUA 89.82
ARIP 41.73
BEAUTY 45.44
BJC 45.4
BLAND 60.7
BROCK 76.37
BSM 75.61
BTNC 52.23
BTS 46.59
CEN 66.34
CENTEL 40.88
CK 1042.54
COLOR 78.43
CPALL 40.84
CSP 41.57
EE 917.97
EMC 43.16
FORTH 71.15
GBX 43.27
GFPT 68.19
GLOBAL 70.69
GRAMMY 43.61
IVL 42.57
JTS 55.02
KC 73.49
KKC 46.5
MILL 44.21
NEW 54.53
OFM 400.73
OHTL 44.99
OISHI 50.85
POST 139.04
PPC 48.3
PPS 45.66
PSL 86.18
ROBINS 43.65
ROJNA 126.05
SABINA 113.99
SAMCO 186.64
SEAFCO 59.82
SIM 181.18
SOLAR 47.12
SPCG 271.85
SSC 111.89
SST 45.28
STA 244.66
STPI 42.58
TCC 45.59
TFD 49.45
TH 250.01
TICON 47.12
TOG 2148.87
TVD 44.23
TWZ 51.66
US 387
UV 164.9
UWC 59.99
VGI 52.29
VIH 49.37
VTE 148.51
WAVE 255.46
WHA 80.89
WIN 43.48


 
INFO: eFinancethai

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

อย่าหวังรวยลัดจากตลาดหุ้น - ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร







ปี 2546 คงจะต้องถูกจารึกว่าเป็นปีที่ตลาดหลักทรัพย์ให้ผลตอบแทนดีที่สุดปีหนึ่งในประวัติศาสตร์ของตลาดหุ้น เพราะดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นกว่า 100% จากดัชนีประมาณ 356 จุดเป็นประมาณ 772 จุดในวันสิ้นปี

นักลงทุนทุกกลุ่มในตลาดต่างก็ได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ บางคนกำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์จากเงินที่นำมาลงทุนในหุ้น บางคนกำไรเพียงหลักสิบเปอร์เซ็นต์ ความดีใจและความภาคภูมิใจของนักลงทุนก็ลดหลั่นกันไปตามผลกำไรที่ได้รับเช่นเดียวกับความมั่นใจที่เกิดขึ้นจากการเล่นหุ้น

หลายๆคนอาจจะเริ่มฝันว่า ได้พบหนทางสู่ความมั่งคั่งอย่างง่ายดายและรวดเร็ว บางคนเริ่มคิดถึงวันที่ตนเองจะมีอิสรภาพทางการเงินในไม่ช้า ทั้งๆที่เพิ่งจะเริ่มเข้ามาลงทุนในตลาดหลักทรัพย์



สิ่งที่คนจำนวนมากในตลาดหุ้นคิดและเชื่อกันในขณะนี้ก็คือ หุ้นเป็นทรัพย์สินที่ให้ผลตอบแทนสูงมาก และถ้าทำโพลถามนักลงทุนว่า เขาคิดว่าตลาดหุ้นจะให้ผลตอบแทนเท่าไรในระยะยาว คำตอบคงเป็น 30 – 40% ต่อปีขึ้นไป โดยเฉพาะในปี 2547 นั้น หุ้นคงจะวิ่งกระฉูดไม่แพ้ปี 2546 เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เอื้ออำนวยต่อตลาดหุ้นก็ยังคงอยู่ และน่าจะดีขึ้นด้วยซ้ำไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะเศรษฐกิจที่เขาบอกกันว่าจะดียิ่งขึ้นไปอีก

แต่ถ้าถามว่ามีนักลงทุนในตลาดหุ้นกี่คนที่ร่ำรวย หรือมีอิสระทางการเงินแล้วจากการลงทุนในตลาดหุ้น คำตอบก็คือ น้อยมาก แม้ว่าจะไม่มีใครทำการศึกษาเรื่องนี้ แต่ผมเชื่อว่าคนที่รวยจากการลงทุนหรือเล่นหุ้นจริงๆนั้น มีไม่เกิน 1 ใน 100 คนที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากการลงทุน ผมคิดว่าคงมีพอสมควรหลังจากที่ดัชนีตลาดปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา ส่วนที่เหลือไม่ต่ำกว่า 70 – 80% ของนักลงทุนนั้น ผมเชื่อว่ายังไม่ได้กำไรจากหุ้นเป็นเรื่องเป็นราวจริงๆ ยกเว้นปี 2546 ที่ได้กำไรชดเชยมาบ้าง

เพราะข้อเท็จของหุ้นก็คือ ในช่วงเกือบ 30 ปีที่ผ่านมา การลงทุนในตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยปีละประมาณ 10% เท่านั้น โดยเป็นผลตอบแทนที่เกิดจากการปรับตัวขึ้นของดัชนีประมาณ 7 – 8% และผลตอบแทนจากเงินปันผลประมาณ 2 – 3% ต่อปี และข้อมูลนี้ก็บังเอิญใกล้เคียงกับผลตอบแทนของตลาดหุ้นในสหรัฐที่ให้ผลตอบแทนประมาณ 10 – 11% ต่อปี โดยเฉลี่ยเป็นระยะเวลา 50 – 60 ปีขึ้นไป

ข้อเท็จจริงต่อมาของตลาดหุ้นก็คือ ผลตอบแทนจากการลงทุนมีการขึ้นลงผันผวนไปเรื่อยๆ แม้ว่าการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจะเดินหน้าต่อเนื่องมายาวนานหลายสิบปี โดยที่มีน้อยครั้งมากที่เศรษฐกิจจะติดลบและเกิดวิกฤติ นานๆครั้งดัชนีตลาดก็จะตกต่ำลงอย่างหนักเป็นเวลา 2 – 3 ปี เช่นเดียวกับที่บางครั้งดัชนีก็ปรับตัวขึ้นอย่างรุนแรงเป็นภาวะกระทิงเปลี่ยวอย่างเช่นที่เกิดขึ้นในปีที่แล้ว ข้อสรุปที่ชัดเจนก็คือ ในระยะยาวตลาดไม่สามารถเติบโตเกิน 10 – 15% ต่อปี โดยเฉลี่ยได้

ด้วยเหตุดังกล่าว นักลงทุนที่คิดว่าตนเองจะสามารถลงทุนทำกำไรจากตลาดหุ้นได้ปีละ 30 – 40% หรือ บางคนคิดว่าจะสามารถกำไรเป็นเท่าตัวในปีเดียว จึงเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีมากเกินไป หรือไม่ก็คงประมาณการฝีมือการลงทุนของตนเองสูงกว่าความเป็นจริง ซึ่งโอกาสที่จะไม่เป็นเช่นนั้นคงมีอยู่สูง ความผิดหวังจะตามมา และเมื่อถึงเวลานั้น ความคิดและภาพพจน์เกี่ยวกับตลาดหุ้นก็จะเปลี่ยนไป คนจะเลิกคิดว่าตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งที่จะสามารถสร้างความมั่งคั่งที่รวดเร็วได้ และคนจำนวนมากก็จะออกจากตลาดหลักทรัพย์กลับไป “ทำมาหากิน” ตามเดิม

นอกจากผลตอบแทนของตลาดหลักทรัพย์ที่ไม่ได้สูงลิ่วอย่างที่หลายคนคิดแล้ว การจัดสรรเงินมาลงทุนในหุ้นสำหรับคนส่วนมากก็มักจะเป็นจำนวนน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับทรัพย์สินทั้งหมดที่มีอยู่ ผมเชื่อว่าคนส่วนใหญ่คงลงทุนในหุ้นไม่เกิน 20 – 30% ของเม็ดเงินที่มี เพราะฉะนั้นถึงแม้ว่ากำไรจากหุ้นจะเป็น 100% ในปีใดปีหนึ่ง แต่ถ้าเงินส่วนใหญ่อีก 70 – 80% กลับฝากอยู่ในธนาคารได้ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปี ผลตอบแทนรวมก็จะได้เพียงประมาณ 21 – 31% เท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอที่จะทำให้ได้อย่างรวดเร็ว

ข้อสรุปของผมก็คือ เป็นเรื่องที่ยากมากสำหรับคนทั่วไปที่จะร่ำรวยจากตลาดหุ้น แม้ว่าในช่วงนี้หลายๆคนจะคิดว่าเป็นไปได้ไม่ยาก คนมักจะเอาสิ่งที่เพิ่งจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้มาเป็นฐานในการมองไปข้างหน้า สิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นเพียงปีหรือสองปีมักจะมีอิทธิพลมากกว่าประวัติศาสตร์เกือบ 30 ปีที่ผ่านมาของไทย และประวัติศาสตร์ตลาดหุ้นนับเป็น 100 ปีของตลาดหุ้นที่เจริญที่สุดอย่างสหรัฐอเมริกา

Value Investor ที่จะประสบความสำเร็จ ร่ำรวย และเป็นอิสระทางการเงินจากตลาดหุ้นได้นั้น ผมคิดว่าจะต้องมองตลาดหุ้นด้วยความเป็นจริง คาดหวังผลตอบแทนปีละไม่เกิน 15% โดยเฉลี่ยจากการลงทุนไม่ว่าภาวะแวดล้อมจะสดใสเพียงใด ไม่ควรลงทุนในหุ้นที่เก็งกำไรสูงแต่ควรซื้อหุ้นที่มีความปลอดภัยมากด้วยเม็ดเงินในสัดส่วนที่สูง อย่าฝากเงินในธนาคารซึ่งให้ดอกเบี้ยเพียง 1% ต่อปีมากนัก และสุดท้ายซึ่งหนีไม่พ้นก็คือจะต้องลงทุนในตลาดหุ้นยาวนานไม่ออกไปไหนถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ว่าภาวะตลาดจะเป็นอย่างไร

การลงทุนให้ประสบความสำเร็จจริงๆนั้น ไม่มีทางลัด และมันต้องการเวลา

วอเร็น บัฟเฟตต์ เคยพูดว่า “คุณไม่สามารถผลิตเด็กภายใน 1 เดือนโดยใช้ผู้ชาย 9 คนได้ เช่นเดียวกัน การลงทุนนั้นอย่าหวังรวยเร็ว ควรหวังรวยช้าแต่แน่นอนจะดีกว่า”



คอลัมน์ โลกในมุมมองของ Value Investor ในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

วันพฤหัสบดีที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2556

เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จัดร่วมงาน “แถลงข่าว และลงนามในสัญญา สนับสนุนวงเงินสินเชื่อ ระหว่าง บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)”

บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ CTH ขอเรียนเชิญท่านสื่อมวลชนเข้าร่วมงานแถลงข่าวการ ลงนามในสัญญาสนับสนุนวงเงินสินเชื่อ กับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ด้านการเงินสำหรับการลงทุนเพื่อพัฒนาศักยภาพการทำงาน ลงทุนด้านธุรกิจโครงข่ายการสื่อสาร ด้านคอนเทนท์คุณภาพทั้งไทยและต่างประเทศ สู่เป้าหมายการเป็นผู้นำผู้ให้บริการสัญญาณโทรทัศน์และบรอดแบนด์คุณภาพ ภายใต้โครงข่ายเคเบิ้ลใยแก้วนำแสง

ภายในงานท่านจะได้รับฟังถึงวิสัยทัศน์และประโยชน์ต่างๆที่บริษัทฯ จะได้รับจากการทำสัญญากู้เงินกับธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ โดย คุณวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ คุณวัชร วัชรพล รองประธานกรรมการ และคุณกฤษณัน งามผาติพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) คุณชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ และคุณเดชา ตุลานันท์ รองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) พร้อมนำเสนอแนวโน้มการขยายธุรกิจ ในมุมมองเพื่อการขับเคลื่อนบริษัทและวงการการสื่อสารของประเทศ

ในวันอังคารที่ 8 มกราคม 2556 เวลา 14.00 — 15.30 น.
ณ ห้องดวงโกมล ชั้น 28 ธนาคารกรุงเทพสำนักงานใหญ่ สีลม

กำหนดการ
14.00 น. : ลงทะเบียนสื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติ
14.30 น. : พิธีกรกล่าวเชิญเข้าสู่งาน
14.35 น. : คุณวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และคุณชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงการรับการสนับสนุนทางด้านการเงิน และสิ่งที่จะเกิดขึ้นใหม่ในวงการสื่อสารโทรคมนาคม

14.55 น. : ลงนามในสัญญา และถ่ายภาพร่วมกัน โดย คุณวิชัย ทองแตง ประธานกรรมการ คุณวัชร วัชรพล รองประธานกรรมการ บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) คุณชาติศิริ โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ และคุณเดชา ตุลานันท์ รองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

15.00 น. : ช่วงสัมภาษณ์บริษัท เคเบิล ไทย โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

15.30 น. : จบงาน




INFO: http://www.ryt9.com/s/prg/1561249

วันพุธที่ 2 มกราคม พ.ศ. 2556

WHA เด้งกว่า 6% หลังผู้บริหารคาดการณ์รายได้ปีนี้โตประมาณ 30%

WHA เด้งกว่า 6% หลังผู้บริหารคาดการณ์รายได้ปีนี้โตประมาณ 30% ด้านกูรูแนะเก็งกำไร แนวต้าน 42.00 บาท


สัมภาษณ์พิเศษ ผ่าเนื้อแท้หุ้น"WHA"ก้าวขึ้นGROWTH STOCK





INFO: หนังสือพิมพ์ทันหุ้น , วันที่ 19 มิถุนายน พ.ศ.2555